Your ideal energy day

MR. MOONLIGHT / 24-Apr-16

อาหารในอุดมคติที่ให้พลังงานได้ดีตลอดวัน

อาหารที่ให้พลังงานที่มีประโยชน์และทำให้สุขภาพดี ถ้าคุณสามารถวางแผนตามนีัชั่วโมงต่อชั่วโมง การเอาชนะการ work outหนักๆ ในยิมก็ไม่ใช่เรื่องยาก

7 โมงเช้า

เลิกการรับประทานคาร์โบไฮเดรตขัดสี มันลดพลังงานของเรา และทำให้ความจำเสื่อม ควรรับประทานโปรตีนเช่น ไข่ ดีกว่า

9.30-11.30

ช่วงนี้ฮอร์โมนคอติซอลเริ่มลดลง สามารถดื่มกาแฟได้ จะมีผลอย่างมากในการเพิ่มพลังงาน ถ้าดิ่มในช่วงเวลานี้แทนที่จะดิ่มตั้งแต่เช้า

10.00

การศึกษาใน USA พบว่าการรับประทานถั่วแอลมิน 40 กรัม จะช่วยลดความอยากอาหารได้ทั้งวัน

บ่ายโมง

การับประทานอาหารกลางวันเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำให้คุณมีน้ำหนักมากกว่าปกติ และการทานผลอะโวคาโดครึ่งผล จะช่วยลดความอยากอาหารต่อไปอีก 5 ชั่วโมงได้ถึง 50 %

บ่าย 2 โมง

การจิบน้ำเปล่าหรือชาสมุนไพรระหว่างมื้ออาหารเป็นสิ่งที่ดี การขาดน้ำจะทำให้มีอาการปวดศีรษะและอารมณ์หงุดหงิดได้ง่าย

บ่าย 3 โมง

การรับประทานของหวานในกลุ่มโยเกิร์ตเช่น Greek yogurt กับเบอรี่หรือน้ำผึ้งจะช่วยลดภาวะน้ำตาลต่ำได้ ทำให้ไม่หิวรุนแรงเกินไปตอนเย็น

6 โมงเย็น

รับประทานอาหารเย็นเบาๆ เนื่องจากถ้าทานมากเกินไปจะนอนไม่หลับ และทำให้ง่วงนอนตอนเช้า

2 ทุ่ม

การรับประทานของว่างที่มีคาร์โบไฮเดรตน้อยๆ เช่น กล้วยหอม ช่วยทำให้เมื่อเราตื่นตอนเช้า แล้วมีความสดชื่น รุ้สึกว่าตนเองหลับได้เพียงพอ

แปลโดย แพทย์หญิง ณัฐณิชา การลพขอขอบคุณข้อมูลจาก Magazine Prevention




Boost your bone strenghth

MR. MOONLIGHT / 3-Apr-16

เพิ่มความแข็งแรงของกระดูก ถึง 33% ได้แล้ววันนี้

ลืมการดื่มนมเป็นแกลลอนแกลลอนไปเลย วิทยศาสตร์สมัยใหม่ช่วยให้เราอยู่อย่างแข็งแรง อายุยืนยาวได้ง่ายกว่าที่คุณคิด

จากความรู้ที่ว่า มนุษย์เราต้องการการออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก แต่จากการศึกษาวิจัยพบว่า การออกกำลังกายบางชนิดเช่น การปั่นจักรยานกลับทำให้กระดูกเสื่อมและแข็งแรงลดลง

การศึกษาใหม่ที่ทำโดย University of Colorado ประเทศสหรัฐอเมริกาค้นพบความจริงที่น่าอัศจรรญ์ที่ว่า วิตามินดี ที่ได้จากแสงแดด ควบคู่กับแคลเซียม ช่วยปกป้องกระดูกของคนเราได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วยลดการเสื่อมของกระดูกภายหลังการออกกำลังกาย โดยการศึกษานี้ได้นำคนมา 52 คน ได้รับแคลเซียม 1000 มิลลิกรัม และได้รับวิตามินดี 1000 ยูนิต ในเวลา 30 นาทีก่อนการออกกำลังกาย หรือ 1 ชั่วโมงหลังจากทำงานเสียเหงื่อ เมื่อตรวจวัดปริมาณความเสื่อมของกระดูกพบว่าดีขึ้น สอดคล้องกับการศึกษาก่อนหน้านี้ที่พบว่าการได้รับแคลเซียม 1000 มิลลิกรัมช่วยลดการเสื่อของกระดูก ได้ถึง 33% เทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้รับแคลเซียมเสริม

ความสัมพันธ์ระหว่างการออกกำลังกายกับความหนาแน่นของกระดูก

ในขณะที่คนเราออกกำลังกาย ระดับแคลเซียมในเลือดจะลดลง ส่งสัญญานให้ร่างกายสร้างฮอร์โมนเพื่อไปดึงเอาแคลเซียมจากกระดูกมาใช้ทดแทน เมื่อแคลเซียมในกระดูกลดลงจะเกิดภาวะที่เรียกว่า Bone resorption ซึ่งเป็นภาวะที่กระดูกเก่าถูกกำจัด ซึ่งถ้าเกิดขึ้นต่อเนื่องจะทำให้กระดูกแตกหัก, ปัญหาของข้อ และสะโพก, ข้ออักเสบได้

นอกจากนี้แล้ว มีการศึกษาหลายการศึกษาที่พบความสัมพันธ์ระหว่าง ภาวะขาดวิตามินดีส่งผลต่อสุขภาพของกระดูก พบว่าคนออสเตรเลีย 23%มีภาวะขาดวิตามินดี

การมีกระดูกที่ดียิ่งขึ้น

จากการศึกษาข้างต้น เกิดคำถามที่ว่า คุณควรจะเสริมวิตามินดีและแคลเซียมก่อนการออกกำลังกายหนักๆเช่นขี่จักรยาน หรือวิ่งนานๆ หรือไม่ Dr.Vanessa Sherk นักวิจัยกล่าวว่า เป็นการยากที่จะกำหนดปริมาณการเสริมวิตามินดีและแคลเซียมก่อนหรือหลังกำลังกายได้อย่างแน่ชัด แต่แน่นอนไม่มีช้อสงสัยว่าร่างกายคนเราต้องการสารอาหารทั้งสองนี้จากอาหารเพื่อการบำรุงรักษาสุขภาพของกระดูก

The National Health and Medical Research Council แนะนำให้ผู้หญิงได้รับวิตามินดีอย่างน้อย 5 ไมโครกรัมต่อวัน และเพิ่มเป็น 10 ไมโครกรัมต่อวันเมื่ออายุเพิ่มขึ้นหลัง 50ปี และ 15 ไมโครกรัมหลังอายุ 70 ปี โดยต้องการปริมาณแคลเซียม 1000 มิลลิกรัมต่อวัน ( เทียบเท่ากับโยเกิร์ตไขมันต่ำ 200 กรัม หรือ เทียบเท่ากับนมพร่องมันเนย 1ถ้วยที่ผสมกับชีส 2-3 ชิ้น) และเพิ่มความต้องการแคลเซียมเป็น 1300 มิลลิกรัมหลังอายุ 50 ปี

เพิ่มความฟิต เพิ่มความแข็งแรง อย่างธรรมชาติ

เสริมวิตามินดีและแคลเซียมก่อนการออกกำลังกาย ช่วยลดการเสื่อมสลายของกระดูก โดยคุณอาจไม่จำเป็นต้องรับประทานเป็นวิตามินเม็ด การรับประทานปลา, ไข่แดง และการออกไปรับแสงแดดอ่อนๆ 5-10 นาทีทุกวัน ก็จะช่วยเสริมวิตามินดีได้ ส่วนอาหารประเภทโยเกิร์ต, นม, ปลาแซลมอน และผักใบเขียว ก็เป็นแหล่งอาหารที่มีแคลเซียมสูงเช่นกัน

2 ตัวขโมยกระดูก

จากวารสาร Americal Journal of Clinical Nutrition ให้ข้อมูลว่าคุณอาจจะได้รับแคลเซียมน้อยกว่าที่คุณคิด ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มเหล่านี้

ผู้ดื่มนมถั่วเหลือง

เนื่องจากว่าการดูดซึมแคลเซียมจากนมถั่วเหลือนั้นน้อยกว่าการดูดซึมแคลเซียมจากนมวัวถึง 25% การที่คุณจะได้รับแคลเซียมจากนมถั่วเหลืองอย่างเพียงพอนั้น คุณจำเป็นที่จะต้องดื่มในปริมาณที่มากพอ เพื่อจะได้รับแคลเซียมถึงปริมาณ 500มิลลิกรัม เทียบกับการดื่มนมวัว 1 แก้ว ที่มีปริมาณแคลเซียม 300 มิลลิกรัม —- คำแนะนำจากผู้เขียนวารสาร Dr Robert Heaney

ผู้ที่รับประทานอาหารเส้นใยสูงและผู้รับประทานอาหารไขมันต่ำ

การรับประทานอาหารเส้นใยสูง และอาหารไขมันต่ำ จะลดการดูดซึมแคลเซียม 19% เทียบกับคนที่รับประทานเบอร์เกอร์และอาหารทอด เหตุผลคืออาหารสุขภาพดีเหล่านี้จะผ่านทางเดินอาหารอย่างรวดเร็ว ทำให้มีเวลาในการดูดซึมแคลเซียมน้อยลง ทางแก้คือ ควรรับประทานไขมันดีในปริมาณเล็กน้อยพอสมควรเช่น น้ำมันมะกอก , อะโวคาโด, ถั่วและเมล็ดธัญพืช เนื่องจากไขมันจะช่วยให้การย่อยอาหารช้าลงได้ จะได้มีเวลาดูดซึมแคลเซียมเพิ่มขึ้น

แปลโดย แพทย์หญิง นพนฤภร โรงสะอาดขอขอบคุณข้อมูลจาก Magazine Prevention




แก้ปัญหาโรคเกี่ยวกับตา ง่ายนิดเดียว

MR. MOONLIGHT / 3-Apr-16

รักษาการมองเห็นให้สุขภาพดี คมชัด ผู้เชี่ยวชาญแนะนำการทานผักมากๆ ร่วมกับการสวมแว่นกันแดด

สิ่งเหล่านี้คือ?

ดวงตาของเราใช้เก็บภาพความประทับใจต่างๆ ไว้มากมาย แต่พออายุมากขึ้น แค่อ่านแผนที่หรือดูเมนูอาหารก็ยังยาก ถ้าหากว่าเราอยากทะนุถนอมดวงตาให้ไม่แก่ไปตามวัย การปรับ life style การดูแลเรื่องอาหารการกินจะช่วยควบคุมโรคสายตาหลักๆนี้ได้แก่ ต้อกระจก ต้อหิน จอประสาทตาเสื่อมจากภาวะชรา

แล้วมันสำคัญอย่างไร?

อย่างแรก แม้ว่าต้อหินจะเกิดได้ทุกอายุ แต่ก็พบบ่อยในคนที่อายุมากขึ้น ตัวอย่าง คนออสเตรเลียที่อายุมากขึ้นกลายเป็นโรคต้อหินถึง300,000 คน โรคต้อกระจกพบในคนที่อายุมากกว่า 60 ถึง 60% ในขณะที่โรคจอประสาทตาเสื่อมเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิด ภาวะบกพร่องการมองเห็นในคนที่อายุมากกว่า 40 ปี นี่จึงเป็นที่มาที่นักวิทยาศาสตร์ต้องการให้เรารู้วิธีที่จะปกป้องสายตาแค่ทำตามคำแนะนำเล็กน้อยเหล่านี้

Simple DIY solution คุณแก้ปัญหาด้วยตัวเองได้ง่ายๆ

วันที่แดดจ้า อย่าลืมปกป้องตาจากแสงแดด ด้วยการสวมหมวกหรือแว่นตาที่ป้องกันรังสี UV ที่มีค่า protection factor อย่างน้อย 9 หรือ 10 เพราะการปกป้องดวงตาจากรัสี UV จะลดความเสี่ยงการเกิดต้อกระจก ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อโปรตีนที่อยู่ในเลนส์ตาถูกทำลาย แว่นตาสีเหลืองและสีชาจะลดการสัมผัสแสงอาทิตย์ที่มองเห็นได้ชนิด blue rays ดอกเตอร์ William Schiff จากมหาวิทยาลัยโรลัมเบียได้อธิบายไว้อย่างนี้

แล้วทำไมเราจึงเป็นห่วงเรื่องนี้?

เพราะรังสี UV เหล่านี้เพิ่มความเสี่ยงของจอประสาทตาเสื่อมที่เกิดตรงบริเวณที่ชื่อ macula เกิดมีการบาดเจ็บเกิดขึ้น

การตรวจเช็คสุขภาพตาเป็นประจำ

ถือเป็นเรื่องง่ายแต่ได้ผล สำหรับการไปพบจักษุแพทย์ให้สม่ำเสมอ เพี่อจะตรวจเจอภาวะจอประสาทตาเสื่อมแต่เนิ่นๆ เพราะถ้ารอให้มีอาการปรากฏจนสังเกตได้ก็อาจไม่ทันแล้ว ก่อให้เกิดการสูญเสียการมองเห็นอย่างถาวรได้ ภาวะต้อหินก็เช่นกัน เป็นสิ่งที่อันตราย เนื่องจากเริ่มต้นจากการสูญเสียเล็กน้อยแค่ภาพรอบๆจนลุกลามสู่ตรงกลาง จนสูญเสียการมองเห็นทั้งหมดได้ ควรไปพบจักษุแพทย์เพื่อตรวจเช็คสุขภาพตาอย่างน้อยทุกๆ 2 ปี หรืออาจบ่อยกว่านี้ตามคำแนะนำของจักษุแพทย์ ยิ่งถ้าคุณเริ่มมีการมองเห็นที่ปกติอยู่แล้วละก็ รีบพบแพทย์ด่วน

รีบปรับเปลี่ยน life style ดังนี้

รักษาน้ำหนักให้เหมาะสม

น้ำหนักที่สุขภาพดีจะช่วยลดความเสี่ยงโรคเบาหวาน ซึ่งสามารถทำลายดวงตา จนทำให้ตาบอดได้ เนื่องจากผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 มักมีความเสี่ยงต่อต้อกระจกบางชนิดสูงขึ้นถึง72 % และเป็นต้อหินเพิ่มเป็น 2 เท่าของคนปกติ จากการศึกษาในสหรัฐอเมริกา

ออกกำลังกายมากๆ

การที่คุณเพิ่มอัตราการเต้นหัวใจเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่่วยถนอมตา จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Investigative Opthalmology & Visual science พบว่าผู้เข้าร่วมการวิ่ง 9.6 กิโลเมตร ต่อวัน ลดโอกาสเกิดจอประสาทตาเสื่อมได้ถึง 54% ไม่ใช่แค่เฉพาะการวิ่ง การปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เล่นเทนนิส ก็ช่วยได้มาก การขับเหงื่อมากๆและการหายใจก็พบว่าดีต่อดวงตา การมีกิจกรรมที่กระฉับกระเฉงจะช่วยป้องกันต้อหิน งานวิจัยพบว่า การปั่นจักรยานสม่ำเสมอ ครั้งละ 40 นาที 4 ครั้งต่อสัปดาห์ เมื่อทำไป 3 เดือน แล้วพบว่าความดันลูกตาลดลงเข้าสู่ปกติ แต่ถ้าหยุด เพียงแค่ 3 สัปดาห์เท่านั้น ทุกอย่างก็จะกลับสู่ภาวะที่เป็นก่อนเริ่มการทดลอง ดังนั้นความต่อเนื่องของการออกกำลังกายจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต่อสุขภาพของเราในทุกๆด้าน

Tried&Tested

เพื่อถนอมดวงตาดวงน้อยๆ ให้ดูแลสุขภาพดังต่อไปนี้ทุกๆวัน

1. ดื่มน้ำส้ม การได้รับวิตามิน C ทุกวัน จะช่วยลดโอกาสเกิดต้อกระจกได้ การศึกษาในสหรัฐอเมริกาแนะนำให้รับประทานวิตามิน C อย่างน้อย 362 มิลลิกรัมต่อวัน ดังนั้นเริ่มต้นมื้อเช้าของทุกวันด้วยน้ำส้มคั้นซัก 1 แก้วสิคะ ที่เหลือก็เริ่มโหลดอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามิน C ให้เต็มโควตาในอาหารแต่ละมื้อ เช่น บรอคโคลี่ สตรอเบอรี่ และดอกกะหล่ำ หรือทางเลือกอื่น? แน่นอนการรรับประทานอาหารเสริมวิตามิน C ในรูปแบบที่มีประสิทธิภาพเช่น “ Ester C” จะทำให้การดูดซึมดีขึ้นกว่าในรูปแบบธรรมดาทั่วๆไป และยังไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหารอีกด้วย

2. Fortified cereals คือซีเรียลที่มีการเติมสารอาหารลงไป คุณค่าของซีเรียลชนิดนี้ มีมากกว่าทีคุณคิด งานวิจัยที่ตีพิมพ์ใน วารสารการแพทย์ Archives of Internal Medicineรายงานว่าผู้หญิงที่ได้รับอาหารที่มีส่วนผสมของวิตามินบี 6 12 และโฟลิก อยู่ด้วยกันสามารถลดการเกิดจอประสาทตาเสื่อมได้ ซึ่งคุณสามารถหาอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินทั้งสามตัวนี้จากซีเรียล เพียงแค่คุณเลือกซีเรียลตามเชลฟ์ โดยดูที่ฉลากอาหาร (nutritional lebel) ทุกครั้ง

3. ผักใบเขียว การศึกษาพบว่าสารแครอทีนอยด์ในกลุ่มลูทีน (lutein) และซีอะแซนทีน (zeaxanthin) ช่วยปกป้องจอประสาทตาได้ แค่ 11/2 เสิร์ฟ ต่อวันก็ช่วยปกป้องจอประสาทตาเสื่อมได้แล้ว และถ้ารับประทานได้ 7 เสิร์ฟต่อวันจะช่วยลดต้อกระจกได้ ผักคะน้าชนิด kale พบว่าเป็นผักที่อุดมไปด้วยสารแครอทีนอยด์ นอกจากนี้ยังมีผักโขม หัวไชเท้า

4. น้ำมันมะกอก extra virgin การศึกษาในสหรัฐอเมริกาพบว่า การรับประทานไขมันดีชนิดนี้ 7 ช้อนโต๊ะต่อสัปดาห์ พบว่าลดการความเสี่ยงจอประสาทตาเสื่อมได้ 52% ตรงกันข้ามคนที่รับประทานไขมันทรานส์ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพซึ่งพบมากในอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปมากๆ เพิ่มโอกาสเกิดจอประสาทตาเสื่อมได้เยอะมากถึง 76% ดังนั้นมากรับประทานสิ่งดีๆกันเถอะค่ะ

แปลโดย แพทย์หญิง ณัฐณิชา การลพขอขอบคุณข้อมูลจาก Magazine Prevention




6 สุดยอดอาหารอารมณ์ดี

MR. MOONLIGHT / 30-Mar-16

นอกจากอาหารจะให้พลังงานกับเราแล้ว ปัจจุบันนักวิทยาศาสตร์ยังพบว่า อาหารที่เราทานนั้นมีผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของเราด้วยนะคะ Alex Korb นักวิจัยทางด้านประสาทวิทยาศาสตร์ ค้นพบว่า สมองของเราจะหลั่งสารสื่อประสาทที่ชื่อว่า “โดพามีน” ในขณะที่เราทานอาหาร และเจ้าสารตัวนี้นี่แหละค่ะ ที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขขณะรับประทานอาหาร ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบว่ามีอาหารบางประเภท ที่มีคุณสมบัติทำให้อารมณ์ของเราดียิ่งขึ้นไปอีกจากส่วนประกอบสุดพิเศษของมัน เรามาดูกันนะคะ ว่าอาหารอารมณ์ดีเหล่านี้มีอะไรบ้าง

วอลนัท และ เมล็ดแฟลกซ์

เนื่องจากในวอลนัทและเมล็ดแฟลกซ์นั้นมีสารที่ชื่อว่า Alpha-linoleic acid (ALA) ซึ่งมีการวิจัยรวบรวมผู้เข้าร่วมวิจัยกว่า 50,000 คน พบว่าผู้หญิงที่ทานอาหารที่อุดมไปด้วย ALA นั้นจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคซึมเศร้าน้อยกว่ากลุ่มอื่น ที่เป็นอย่างนี้ก็เนื่องจาก การที่มี ALA ต่ำนั้นสัมพันธ์กับภาวะอักเสบในร่างกาย ซึ่งสัมพันธ์กับโรคซึมเศร้า นอกจากนั้นระดับของ ALA ในร่างกายก็ยังสัมพันธ์กับระดับของสารสื่อประสาท โดพามีนและซีโรโตนิน ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างความสุขและยับยั้งอารมณ์ก้าวร้าวค่ะ

กาแฟ

คาเฟอีน ในกาแฟนั้น สามารถช่วยเพิ่มระดับของสารสื่อประสาทโดพามีนและซีโรโทนินในสมองได้หลังจากที่เราดื่มกาแฟดื่มเพียง 30 นาทีค่ะ นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยที่พบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้ว มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าต่ำลง 15% และถ้าเพิ่มปริมาณเป็นวันละ 4 แก้วขึ้นไป พบว่าความเสี่ยงในการเกิดภาวะซึมเศร้าลดลงได้ถึง 20% เลยทีเดียวค่ะ

หอยกาบ

เจ้าหอยกาบนี้ช่วยให้เราอารมณ์ดีได้เนื่องจากมันอุดมไปด้วยวิตามิน B12 ค่ะ สมองของเราจำเป็นต้องใช้วิตามิน B12 ในการผลิตสารสื่อประสาทโดพามีนและซีโรโทนินค่ะ ทางการแพทย์พบว่า เรามักพบภาวะขาดวิตามิน B12 ได้บ่อยๆในคนไข้ที่เป็นโรคซึมเศร้า และโรคสมองเสื่อมค่ะ นอกจากเราจะพบวิตามิน B12 ได้มากในหอยกาบแล้ว ในอาหารอื่นๆ เช่น เนื้อไก่ เนื้อวัวไม่ติดมัน ผลิตภัณฑ์จากนม ซีเรียล ก็มีปริมาณวิตามิน B12 สูงเช่นกันค่ะ

ออยส์เตอร์

ออยสเตอร์เป็นอาหารที่มีแร่ธาตุซิงค์สูงมากค่ะ สมองที่ดีนั้นจำเป็นต้องใช้ซิงค์เป็นอย่างมาก เนื่องจากซิงค์มีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์สมองใหม่และควบคุมการติดต่อสื่อสารกันระหว่างเซลล์ประสาทค่ะ โดยการทานออยสเตอร์สดปริมาณ 85 กรัมนั้น ร่างกายจะได้รับซิงค์ปริมาณ 52 มิลลิกรัม และออยสเตอร์กระป๋องปริมาณ 85 กรัมนั้นจะมีปรืมาณซิงค์สูงถึง 77 มิลลิกรัมทีเดียวค่ะ

โยเกิร์ต

โยเกิร์ต อุดมไปด้วยโพรไบโอติกส์ แบคทีเรียชนิดดีที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของเราค่ะ สมองและลำไส้ของเรามีการติดต่อผ่านกันทางเส้นประสาทเวกัส ดังนั้นการที่ลำไส้มีสุขภาพที่ดีก็จะส่งผลไปถึงอารมณ์ที่ดีด้วยเช่นกันค่ะ การศึกษาในหนูยังพบอีกด้วยว่า โพรไบโอติกส์นี้สามารถเปลี่ยนแปลงตัวรับสารสื่อประสาท GABA(gamma-aminobutyric acid) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่ช่วยให้ใจเย็นและสงบค่ะ

ชอคโกแลต

ชอคโกแลตซึ่งเป็นของโปรดของใครหลายๆคนนั้น ประกอบไปด้วยสารโพลีฟีนอลในปริมาณมากค่ะ สารโพลีฟีนอลนี้ช่วยให้อารมณ์ดีด้วยกลไกที่คล้ายๆกันกับกัญชา โดยเจ้าโพลีฟีนอลนี้จะไปออกฤทธิ์กับ GABA ในสมอง ซึ่งเป็นตัวควบคุมการตอบสนองต่อภาวะต่างๆ และ adenosine ซึ่งสัมพันธ์กับการสร้าง dopamine ค่ะ มีการศึกษาโดยนักวิจัยชาวออสเตรเลียพบว่า ผู้ที่ดื่มดาร์กชอคโกแลตที่มีสารโพลีฟีนอลนั้น จะสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าค่ะ

000 คน พบว่าผู้หญิงที่ทานอาหารที่อุดมไปด้วย ALA นั้นจะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคซึมเศร้าน้อยกว่ากลุ่มอื่น ที่เป็นอย่างนี้ก็เนื่องจาก การที่มี ALA ต่ำนั้นสัมพันธ์กับภาวะอักเสบในร่างกาย ซึ่งสัมพันธ์กับโรคซึมเศร้า นอกจากนั้นระดับของ ALA ในร่างกายก็ยังสัมพันธ์กับระดับของสารสื่อประสาท โดพามีนและซีโรโตนิน ซึ่งมีหน้าที่ในการสร้างความสุขและยับยั้งอารมณ์ก้าวร้าวค่ะ

กาแฟ

คาเฟอีน ในกาแฟนั้น สามารถช่วยเพิ่มระดับของสารสื่อประสาทโดพามีนและซีโรโทนินในสมองได้หลังจากที่เราดื่มกาแฟดื่มเพียง 30 นาทีค่ะ นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยที่พบว่า ผู้หญิงที่ดื่มกาแฟวันละ 2-3 แก้ว มีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะซึมเศร้าต่ำลง 15% และถ้าเพิ่มปริมาณเป็นวันละ 4 แก้วขึ้นไป พบว่าความเสี่ยงในการเกิดภาวะซึมเศร้าลดลงได้ถึง 20% เลยทีเดียวค่ะ

หอยกาบ

เจ้าหอยกาบนี้ช่วยให้เราอารมณ์ดีได้เนื่องจากมันอุดมไปด้วยวิตามิน B12 ค่ะ สมองของเราจำเป็นต้องใช้วิตามิน B12 ในการผลิตสารสื่อประสาทโดพามีนและซีโรโทนินค่ะ ทางการแพทย์พบว่า เรามักพบภาวะขาดวิตามิน B12 ได้บ่อยๆในคนไข้ที่เป็นโรคซึมเศร้า และโรคสมองเสื่อมค่ะ นอกจากเราจะพบวิตามิน B12 ได้มากในหอยกาบแล้ว ในอาหารอื่นๆ เช่น เนื้อไก่ เนื้อวัวไม่ติดมัน ผลิตภัณฑ์จากนม ซีเรียล ก็มีปริมาณวิตามิน B12 สูงเช่นกันค่ะ

ออยส์เตอร์

ออยสเตอร์เป็นอาหารที่มีแร่ธาตุซิงค์สูงมากค่ะ สมองที่ดีนั้นจำเป็นต้องใช้ซิงค์เป็นอย่างมาก เนื่องจากซิงค์มีส่วนช่วยในการสร้างเซลล์สมองใหม่และควบคุมการติดต่อสื่อสารกันระหว่างเซลล์ประสาทค่ะ โดยการทานออยสเตอร์สดปริมาณ 85 กรัมนั้น ร่างกายจะได้รับซิงค์ปริมาณ 52 มิลลิกรัม และออยสเตอร์กระป๋องปริมาณ 85 กรัมนั้นจะมีปรืมาณซิงค์สูงถึง 77 มิลลิกรัมทีเดียวค่ะ

โยเกิร์ต

โยเกิร์ต อุดมไปด้วยโพรไบโอติกส์ แบคทีเรียชนิดดีที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของเราค่ะ สมองและลำไส้ของเรามีการติดต่อผ่านกันทางเส้นประสาทเวกัส ดังนั้นการที่ลำไส้มีสุขภาพที่ดีก็จะส่งผลไปถึงอารมณ์ที่ดีด้วยเช่นกันค่ะ การศึกษาในหนูยังพบอีกด้วยว่า โพรไบโอติกส์นี้สามารถเปลี่ยนแปลงตัวรับสารสื่อประสาท GABA(gamma-aminobutyric acid) ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทสำคัญที่ช่วยให้ใจเย็นและสงบค่ะ

ชอคโกแลต

ชอคโกแลตซึ่งเป็นของโปรดของใครหลายๆคนนั้น ประกอบไปด้วยสารโพลีฟีนอลในปริมาณมากค่ะ สารโพลีฟีนอลนี้ช่วยให้อารมณ์ดีด้วยกลไกที่คล้ายๆกันกับกัญชา โดยเจ้าโพลีฟีนอลนี้จะไปออกฤทธิ์กับ GABA ในสมอง ซึ่งเป็นตัวควบคุมการตอบสนองต่อภาวะต่างๆ และ adenosine ซึ่งสัมพันธ์กับการสร้าง dopamine ค่ะ มีการศึกษาโดยนักวิจัยชาวออสเตรเลียพบว่า ผู้ที่ดื่มดาร์กชอคโกแลตที่มีสารโพลีฟีนอลนั้น จะสามารถควบคุมอารมณ์ได้ดีกว่าค่ะ

"




Krill Oil ( น้ำมันคริลล์ ) สารสกัดจากกุ้งเคย ช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้

MR. MOONLIGHT / 28-Mar-16

กรดไขมันโอเมก้า-3 ( omega-3 fatty acid ) ในอาหารเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์สำหรับสุขภาพ ปัจจุบันพบว่าคนอเมริกันส่วนใหญ่มีปัญหาขาดกระไขมันโอเมก้า-3 ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ จึงมีการวิจัยนำน้ำมันคริลล์มาเป็นแหล่งสารอาหารกรดไขมันโอเมก้า-3 ที่สำคัญ

Krill oil ลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ ในเลือด : ประโยชน์กับหัวใจของคุณ

ระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงเกี่ยวข้องกับการเพิ่มโอกาสเป็นโรคหัวใจ และเป็นหนึ่งในภาวะกลุ่มอาการผิดปกติทางเมตาบอลิกโรคอ้วนลงพุง ( Metabolic syndrome) การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเป็นหนึ่งในวิธีสำคัญในการควบคุมระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม รวมถึงมีระดับกรดไขมันโอเมก้า-3ที่มีประโยชน์ในปริมาณที่เพียงพอ

การวิจัยล่าสุดที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Nutrition Research ได้เปิดเผยถึงผลดีของน้ำมันคริลล์ในการช่วยลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือดในผู้ใหญ่ที่มีระดับไขมันในเลือดสูงได้ โดยสามารถลดระดับไขมันได้มากถึงกว่า 10 เปอร์เซนต์ การวิจัยสรุปผลว่า Krill oil มีประโยชน์ในการช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งสอดคล้องกับหลายการวิจัยที่ผ่านมา

นอกจากนี้มีการศึกษาพบว่าสารสกัด Krill oil มีประโยชน์ใกล้เคียงกับ สารสกัดจาก น้ำมันปลา (Fish oil ) ถึงแม้ว่าใน Krill oil จะมีปริมาณกรดไขมันโอเมก้า-3 ได้แก่ EPA และ DHA น้อยกว่าในน้ำมันปลาประมาณ 63เปอร์เซนต์ แต่ประโยชน์ต่อภาวะเมตาบอลิกไม่แตกต่างกัน เนื่องจากสารสกัดจาก Krill oil ถูกดูดซึมได้ดีกว่าน้ำมันปลา 10-15 เท่า

Krill oil ช่วยควยคุมระดับไขมัน เทียบเท่ายาลดไขมัน Statin และได้ผลดีกว่า Fish oil

การศึกษาที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร the Journal of Animal Physiology and Animal Nutrition เปรียบเทียบผลการลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ ระหว่างโดย Krill oil กับ น้ำมันปลา ในช่วงการศึกษา 6 สัปดาห์ในหนูทดลอง พบว่า เมื่อการศึกษาผ่านไป 3 สัปดาห์ พบว่า หนูทดลองกลุ่มที่ได้รับ Krill oil และ กลุ่มที่ได้รับ น้ำมันปลา มีระดับไชมันไตรกลีเซอไรด์ในตับลดลง โดย Krill oil สามารถลดระดับไขมันได้มากกว่า และเร็วกว่าน้ำมันปลา เมื่อจบการศึกษา 6 สัปดาห์พบว่า กลุ่มทดลองที่ได้รับ Krill oil มีระดับไขมันคลอเลสเตอรอลลดลง 33 เปอร์เซนต์ และกลุ่มที่ได้รับน้ำมันปลาลดลง 21 เปอร์เซนต์ ระดับไตรกลีเซอไรด์ในตับของกลุ่มทดลองที่ได้รับ Krill oil ลดลง 20 เปอร์เซนต์ เทียบกับกลุ่มที่ได้รับน้ำมันปลาลดลง 10 เปอร์เซนต์ ซึ่งเคยมีการศึกษาผลของยาลดไขมันกลุ่มstatin ว่าสามารถลดระดับคลอเลสเตอรอลได้ 20 เปอร์เซนต์ จึงทำให้มีการใช้ Krill oil ทดแทนยาลดไขมันในกลุ่มประเทศในยุโรป

ความแตกต่างของ Krill oil กับ น้ำมันปลา

กรดไขมันโอเมก้า-3 ในอาหาร จากปลาแซลมอลอลาสก้า และ จากอาหารเสริม Krill oil มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูงที่สุด เนื่องจากมีส่วนประกอบของสาร DHA และ EPA ทีช่วยป้องกันโรคได้ ซึ่งไม่พบในโอมาก้า-3จากอาหารอื่นๆเช่น Flaxseed, เมล็ดเจียร์ (chia) แต่เนื่องจากในปัจจุบันพบการปนเปื้อนของสารตะกั่วในแหล่งที่อยู่ของปลาตามที่ต่างๆ ทำให้อาหารเสริมจาก Krill oil เป็นแหล่งของโอเมก้า-3ที่ดีทดแทน

โอเอก้า-3 ในกุ้งเคย จะจับอยู่กับสารฟอสโฟลิปิด (phospholipid) ช่วยเพิ่มการดูดซึม จึงสามารถรับประทานในปริมาณที่ไม่มากได้ ทำให้ไม่เกิดอาการอืดแน่นท้องหรือเรอแบบที่มีอาการจากการรับประทานน้ำมันปลา นอกจากนี้แล้ว Krill oil ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่สำคัญเรียกว่าสารแอสตาแซนทีน (astaxanthin) ในปริมาณที่สูงกว่าในน้ำมันปลาถึง 50 เท่า ช่วยคงสภาพของกรดไขมันโอเมก้า-3 ให้อยู่ในสภาพที่ดีพร้อมทำงานในเซลล์ร่างการได้ดีกว่าน้ำมันปลา

Krill oil คงสภาพได้ดีกว่าน้ำมันปลา

ในการทดลองพบว่าเมื่อนำน้ำมันคริลล์ตั้งทิ้งไว้ในอากาศ น้ำมันคริลล์คงสภาพได้ไม่เหม็นหืนได้นานถึง 190 ชั่วโมง ในขณะที่น้ำมันปลาคงสภาพได้เพียงแค่ 1 ชั่วโมง คิดเป็น 200เท่าของการทนการถูกทำลายได้ดีกว่า

ก่อนซื้ออาหารเสริม Krill oil ผู้บริโภคควรตรวจสอบปริมาณสารแอสตาแซนทีน ยิ่งมีปริมาณมากยิ่งได้ประโยชน์ โดยปริมาณที่สุงกว่า 0.2 มิลลิกรับต่อน้ำมันคริลล์1กรับ เป็นปริมาณที่เหมาะสมในการช่วยคงสภาพน้ำมันคริลล์จากการเหม็นหืนได้

Krill oil แหล่งอาหารที่ยั่งยืน

กุ้งเคย มีปริมาณมากมายในธรรมชาติ เทียบกับปริมาณปลา การนำกุ้งเคยมาเป็นอาหารเสริมจึงไม่เป็นการทำร้ายต่อระบบนิเวศ โดยมีปริมาณกุ้งเคยในโลกในปริมาณมากกว่า 4,000เท่า เทียบกับการจับกุ้งเคยมาเป็นแหล่งอาหารเสริม

ประโยชน์ของ Krill oil ต่อสุขภาพ

นอกจากประโยชน์ในการลดระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์แล้ว น้ำมันคริลล์ยังมีประโยชน์ต่อสมอง ช่วยชะลอภาวะหลงลืม ช่วยควยคุมอาการของโรคสมาธิสั้น ช่วยควบคุมการอักเสบต่างๆเช่นการปวดข้อ อาการเจ็บปวด ช่วยลดภาวะซึมเศร้า และอื่นๆอีกมากมาย

สาเหตุที่ทำให้ Krill oil มีประโยชน์ต่อหลายๆโรคข้างต้น เนื่องจากการมีคุณสมบัติในการลดการอักเสบของร่างกาย ซึ่งถือเป็นสาเหตุสำคัญของโรคเรื้อรังต่างๆ

ตัวอย่างของโรคเรื้อรังที่ Krill oil สามารถช่วยควบคุม และรักษาได้

โรคหัวใจและหลอดเลือด
โรคไขมันในเลือดสูง
โรคข้ออักเสบ ข้อเสื่อม โรครูมาตอยด์
โรคทางสมอง เช่น สมองเสื่อม โรคสมาธิสั้น (ADHD)
กลุ่มโรคเมตาบอลิก (metabolic syndrome) โรคอ้วนลงพุง
โรคมะเร็ง
ภาวะการอักเสบ และภาวะเครียดจากสารอนุมูลอิสระ
อาการปวดประจำเดือน และกลุ่มอาการการมีประจำเดือน (Premenstrual syndrome )
โรคไต
โรคคนแก่ และปัญหาจากความเสื่อมของร่างการ

ทำอย่างไรให้ได้ประโยชน์จากโอเมก้า-3ได้มากที่สุด

โอเมก้า-3 ช่วยให้เซลล์ของร่างการตอบสนองต่อสารอินซุลิน, สารสื่อประสาท และสารตัวกลางต่างๆ ช่วยในกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ของร่างการ ในขณะที่ไขมันประเภทโอเมก้า-6 ที่อยู่ในน้ำมันพืช ถือเป็นสารตั้งต้นของการอักเสบ ดังนั้นเราจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีปริมาณไขมันโอเมก้า-6 ได้แก่น้ำมันจากเมล็ดพืช เพื่อให้อันตราส่วนของ ไขมันดีโอเมก้า-3 ต่อไขมันไม่ดีโอเมก้า-6 เป็นไปอย่างเหมาะสม จึงจะช่วยลดโอกาสการเกิดโรคหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเส้นเลือดสมอง โรคอัลไซเมอร์ โรคข้ออักเสบ และโรคเสื่อมอื่นๆได้

Krill Oil Supplementation Lowers Your Triglycerides

Most Americans are seriously deficient in animal-based omega-3 fats. If you’re among them, this means you are missing out on many health advantages that these fats offer.

Maintaining a high dietary omega-3 intake throughout your life is essential for optimal health, and the research continues to pour in that krill oil, in particular, is the preferable source.

Lower Your Triglycerides: Krill Oil for Your Heart

Triglycerides are a type of fat in your blood. Elevated levels are linked to an increased risk of heart disease, and high triglycerides are also one of the signs of metabolic syndrome.

Eating a healthful diet is one of the best ways to keep your triglyceride levels in the optimal range, and this includes omega-3 fats. Recent research published inNutrition Research1 revealed that krill oil supplementation lowers triglyceride levels in adults with borderline high or high triglycerides – by more than 10 percent.

The researchers concluded: “krill oil is effective in reducing a cardiovascular risk factor.” This isn’t the first time krill oil has been shown to reduce triglycerides, and past research also showed that it is more effective than fish oil at doing so.

One study revealed that while the metabolic effects of the two oils are “essentially similar,” krill oil is as effective as fish oil despite the fact that it contains less EPA and DHA (the primary active fatty acids in animal-based omega-3 fats).2

In that case, the EPA and DHA dose in the krill oil was nearly 63 percent lessthan that in the fish oil – but the beneficial effects were virtually the same. This finding corresponds with unpublished data suggesting that krill oil is absorbed up to 10-15 times as well as fish oil, which would explain this discrepancy.

Krill Oil Works Better Than Fish Oil, and on Par with Statins, to Improve Lipid Profiles

Separate research published in the Journal of Animal Physiology and Animal Nutrition3 compared the efficiency of krill oil and fish oil in reducing triglyceride levels. Over a six-week period, rats divided into three groups had their diets supplemented with one of the following:

2.5 percent krill oil

2.5 percent fish oil

No supplement

In less than three weeks, both oils had markedly reduced the enzyme activity that causes the liver to metabolize fat, but the krill oil had a far more pronounced effect, reducing liver triglycerides significantly more. The higher potency of krill oil allows it to decrease triglyceride levels in a shorter period of time compared to fish oil.

Overall, after six weeks of supplementation, cholesterol levels in the krill oil group declined by 33 percent, compared to 21 percent in the fish oil group.

Further, liver triglycerides were reduced by TWICE as much in the krill oil group compared to the fish oil group, by 20 percent and 10 percent, respectively. This is particularly important, as fasting triglyceride levels are a powerful indication of your body’s ability to have healthy lipid profiles.

To put this into further context, after being on a statin drug combined with daily exercise for several months, participants in one 1997 study4 saw an average reduction in their cholesterol levels of 20 percent. This is why krill oil is actually being used as a drug in some European countries.

Krill Oil Vs. Fish Oil: What’s the Difference?

From my perspective, based on medical experience and overwhelming scientific evidence, making sure you’re getting enough omega-3 in your diet, either from wild Alaskan salmon or a high-quality omega-3 supplement like krill oil, is absolutely crucial for your optimal health.

While a helpful form of omega-3 can be found in flaxseed, chia, hemp, and a few other foods, the most beneficial form of omega-3 — containing both DHA and EPA, which are essential to fighting and preventing both physical and mental disease — can only be found in fish and krill.5

Unfortunately, nearly all fish, from most all sources, are now severely contaminated with toxic mercury, which is why wild-caught Alaskan salmon is one of the only fish I’ll eat on a regular basis.

Most people will not get enough animal-based omega-3 fats from diet alone, which is why I highly recommend krill oil as an important supplement – even above fish oil.

The omega-3 in krill is attached to phospholipids that increase its absorption, which means you need less of it, and it won’t cause belching or burping like many other fish oil products. Additionally, it naturally contains astaxanthin, a potent antioxidant—almost 50 times more than is present in fish oil. This prevents the highly perishable omega-3 fats from oxidizing before you are able to integrate them into your cellular tissue.

Krill Oil Is Less Damaged or Oxidized Than Fish Oil

In laboratory tests, krill oil remained undamaged after being exposed to a steady flow of oxygen for 190 hours. Compare that to fish oil, which went rancid after just one hour. That makes krill oil nearly 200 times more resistant to oxidative damage compared to fish oil!

When purchasing krill oil, you’ll want to read the label and check the amount of astaxanthin it contains. The more the better, but anything above 0.2 mg per gram of krill oil will protect it from rancidity. To learn more about the benefits of krill versus fish oil, please see my interview with Dr. Rudi Moerck, a drug industry insider and an expert on omega-3 fats, above. The infographic below also presents the facts of which omega-3 supplement is best.

I was one of the first to promote krill as an exceptional source of animal-based omega-3 dietary fats. Many have criticized me for recommending this over fish oil, for the lack of studies to back it up, but the bulk of the new emerging studies are confirming that krill is the better option.

It merely took time for the science to document what was obvious clinically, that krill had the identical fats as fish oil but was a far higher quality source due to astaxanthin protecting the perishable fats, and the phospholipids that massively increase the absorption of the fats.

Krill Oil Is HIGHLY Sustainable

Some may be wondering if by consuming krill you are you endangering the welfare of birds and marine animals by “stealing” their primary food source. If I thought this was true, my conscience would not allow me to promote krill. But based on the evidence, the chance of over harvesting krill is extremely slim, even if harvesting was increased rather dramatically. There’s a very big margin built into the current regulations.

Krill is the largest biomass in the world. If you were to weigh the population of any animal on earth — any fish, whale, insect, bird, rat, or even humans — krill would still weigh the most. There are simply more krill on the planet than any other creature, so they are in no danger of over harvesting anytime soon. Secondly, krill harvesting is one of the best regulated on the planet, using strict international precautionary catch limit regulations that are reviewed regularly to assure sustainability.

The Antarctic krill biomass is under the management of an international body of 25 countries called the Commission for the Conservation of Antarctic Marine Living Resources (CCAMLR). This is the ONLY official and reliable international organism involved in the management of sustainable krill fishery and the monitoring of krill stock, and no shortage of krill has ever been forecasted by CCAMLR.

To assure sustainability and minimize risks associated with harvesting practices in conditions of uncertainty, the CCAMLR implemented a strict precautionary approach. It’s an “ecosystem approach,” meaning it takes into account ecological links between different species and natural variability, such as the natural, cyclical rise and fall in reproduction of a species, for example.

Currently there are about 4,000 times more krill in the wild than is being harvested, so it should be comforting to know that harvesting is taking a very small fraction of the total amount of krill available. So harvesting does not pose a threat to whales and other animals that depend on krill for sustenance. For more details on the eco-friendly nature of krill, please read “Can Krill Help End World Hunger?”

Krill Oil May Benefit 20+ Conditions

The really great thing about taking a supplement like krill oil is that it benefits your health on multiple levels. It won’t “only” help your heart by lowering your triglycerides… It’s also been proven to benefit your brain, slowing memory loss and improving conditions like ADHD, inflammatory conditions like arthritis and pain, depression, and much more.

A major reason krill oil has such impressive benefits is that it powerfully reduces inflammation in your body, which is at the root of many chronic diseases. GreenMedInfo6 now lists 20 different conditions krill oil may help prevent or reverse, several of which are listed in the table below. Of course, if you extend the search to include everything related to omega-3 fats, the list of benefits expands even more, since the gifts of krill oil include everything known to be good about omega-3s. The implications are truly profound, and I’m sure you’ll be seeing much more krill research in the future.

Cardiovascular disease and hyperlipidemia

Inflammation, and C-Reactive Protein

Oxidative stress

Arthritis: osteoarthritis and rheumatoid arthritis (RA)

Metabolic syndrome, including obesity and fatty liver

Premenstrual syndrome (PMS) and dysmenorrhea

Brain disease: cognitive dysfunction, memory loss, brain aging, learning disorders, and ADHD

Cancer

Kidney disease

The Key to Getting the Most Benefit from Omega-3 Fats

Omega-3 fats improve your cell’s response to insulin, neurotransmitters, and other messengers. They also help the repair process when your cells are damaged. On the other hand, omega-6 fats, which are found in vegetable oils, are pro-inflammatory and contribute to insulin and membrane resistance, altering your mood, and impairing learning and cell repair. To avoid high levels of omega-6, it is important to avoid all vegetable seed oils.

In order to take your health to the next level, please understand that it’s not only necessary to consciously consume omega-3 fats; it is just as important to lower your omega-6 fat intake. If you don’t lower your omega-6 fats to acceptable levels, your omega-6:3 ratio will not be low enough, and you may not receive many of the wonderful benefits of omega-3 fats such as reduced risk of heart disease, cancer, stroke, Alzheimer’s, arthritis, and many other degenerative illnesses.

My nutrition plan is a step-by-step guide to help you increase your intake of healthful omega-3 (and other fats) while lowering your intake of excess omega-6 fats. This diet will help you optimize your omega-6:3 ratio so you’re able to get the most benefit out of the omega-3 fats in your krill oil supplement.

and past research also showed that it is more effective than fish oil at doing so.

One study revealed that while the metabolic effects of the two oils are "essentially similar

the chance of over harvesting krill is extremely slim




Resveratrol

MR. MOONLIGHT / 23-Mar-16

เรสเวอราทรอล – ความหวังใหม่ของผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์

ในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา Resveratrol หรือสารต้านอนุมูลอิสระที่พบได้ในผิวองุ่น , ชอคโกแลต , และไวน์แดง ได้มีการศึกษาถึงประโยชน์ในการควบคุมโรค อัลไซเมอร์ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคอื่นๆ ในปัจจุบันมีการศึกษาล่าสุดที่พบว่า Resveratrol สามารถช่วยชะลอโรคอัลไซเมอร์ได้

การศึกษานี้รวบรวมขึ้นจากศูนย์วิจัยการแพทย์ในประเทศสหรัฐอเมริกา รวม 21 แห่ง ศึกษาเกี่ยวกับความปลอดภัย และผลดีจากการให้ Resveratrol เสริมในขนาดสูง เทียบเท่ากับที่ได้จากไวน์แดง 1000 ขวด โดยให้ผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ที่มีอาการรุนแรงน้อยและปานกลาง

นักวิจัยได้ตรวจสอบสารบ่งชี้ของโรคอัลไซเมอร์ และพบว่า เมื่อผู้ป่วยได้รับ Resveratrolในขนาดสูงถึงวันละ 4 เม็ด จะพบสารบ่งชี้โรคอัลไซเมอร์ ที่เรียกว่า Amyloid-beta protein ในน้ำไขสันหลัง สูงกว่าผู้ที่ไม่ได้รับ Resveratrol

ถึงแม้ว่าปริมาณของ Amyloid-beta protein ในสมองจะเป็นสารบ่งชี้ของโรคอัลไซเมอร์ แต่พบว่าผู้ป่วยมีประมาณโปรตีนดังกล่าวภายนอกสมองลดลง การศึกษาจึงบ่งบอกว่า Resveratrol เป็นตัวช่วยในการปรับสมดุลของสาร Amyloid-beta protein นี้ไม่ให้สะสมในสมอง แต่ให้ออกสู่ภายนอกสมองแทน อย่างไรก็ดีการให้ Resveratrol ในขนาดสูงแบบในการศึกษานี้ยังไม่ได้สรุปผลเป็นคำแนะนำในตอนนี้ เนื่องจากเพิ่งได้มีการศึกษาค้นพบไม่นาน โดยหัวหน้าผู้วิจัยนี้ Dr. R. Scott Turner ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยา จาก at Georgetown University Medical Center ได้กล่าวว่า การค้นพบในวิจัยครั้งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญมาก และเป็นจุดเริ่มต้นของการศึกษาประโยชน์ของ Resveratrol ต่อเนื่องในอนาคต โดยการได้รับ Resveratrol ในขนาดสูง ก็พบว่ามีความปลอดภัย โดยต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมจากการพบว่าผู้ป่วยอัลไซเมอร์ที่ได้รับ Resveratrol ในขนาดสูงในการศึกษาครั้งนี้ น้ำหนักลดเฉลี่ย 2 ปอนด์ เทียบกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับ Resveratrol น้ำหนักเพิ่มขึ้น 1 ปอนด์

อย่างไรก็ดี เนื่องจากการศึกษาในครั้งนี้มีตัวอย่างผู้ป่วยที่อยู่ในการวิจัยจำนวนไม่มากพอ จึงยังไม่สามารถตอบคำถามที่ว่า ผู้ป่วยที่ได้รับ Resveratrol นั้นมีปริมาณสารบ่งชี้โรคอัลไซเมอร์ Amyloid-beta protein ในสมองลดลงจริงหรือไม่ และอาการเสื่อมถอยของสมองในโรคอัลไซเมอร์นั้นถูกชะลอได้หรือไม่ การศึกษาวิจัยในขั้นต่อไปจะได้ดำเนินการต่อในเร็วๆนี้ แต่ในการศึกษานี้พบว่าผู้ป่วยมีการทำงานของสมองที่ดีขึ้น ผู้ป่วยสามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ดีขึ้น เช่น สามารถจำได้ว่าจะต้องแปรงฟัน เป็นต้น และผู้ป่วยบอกนักวิจัยได้ว่าพวกเขามีอาการทางสมองที่ดีขึ้น Resveratrol จึงเป็นอีกหนึ่งการรักษาเสริมในคนไข้อัลไซเมอร์ โดยให้เสริมควบคู่กับยารักษาเดิม เช่น Aricept , Exelon ที่ผู้ป่วยได้รับในปัจจุบัน

นอกจากนี้แล้วสิ่งสำคัญที่จะมาเป็นตัวช่วยในการรักษาผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ ก็คือ การปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวัน ได้แก่การดูแลเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การสนับสนุนทางจิตใจและสังคม ช่วยกระตุ้นผู้ป่วยโรคอัลไซเมอร์ สามารถชะลอความเสื่อมถอยของผู้ป่วยได้ดีขึ้น

สารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆก็เป็นส่วนช่วยสำคัญ สาร Resveratrol เพียงตัวเดียวอาจไม่ได้รักษาโรคอัลไซเมอร์ได้ แต่การผสมผสานของสารประเภท Polyphenol อื่นๆ ที่พบในไวน์แดง น้ำองุ่น สารสกัดจากเมล็ดองุ่น จะช่วยลดโอกาศการเป็นโรคอัลไซเมอร์ได้

ถึงแม้ว่าในการศึกษานี้จะศึกษา Resveratrol ในขนาดสูง เพื่อเพิ่มการออกฤทธิ์ที่สมอง แต่ในปัจจุบันเราสามารถได้รับ Resveratrol ได้จากการดื่มไวน์แดง วันละ 1 แก้ว สามารถช่วยรักษาอาการของโรคอัลไซเมอร์ในระยะต้นได้ แต่ห้ามดื่มเกินวันละ 1 แก้ว สำหรับอาหารเสริม Resveratrol ที่มีขายในท้องตลาดนั้น ยังไม่สามารถยืนยันถึงประโยชน์ที่ได้รับ เนื่องจากในตลาดนั้นเราไม่ทราบว่า มีปริมาณ Resveratrol เท่าใด ตรงตามที่ฉลากระบุหรือไม่

For Alzheimer’s patients, resveratrol brings new hope

Over the years, resveratrol, an antioxidant found in grapes, chocolate and red wine, has been touted as a possible antidote to Alzheimer’s disease, cancer, diabetes and many other conditions. Now, the first study in people with Alzheimer’s suggests that the compound, when taken in concentrated doses, may actually have benefit in slowing progression of this disease.

Researchers at 21 medical centers across the United States looked at the safety and effectiveness of taking high doses of resveratrol in an experimental pill — equal to the amount found in 1,000 bottles of red wine — in people with mild to moderate Alzheimer’s.

The researchers looked at several biomarkers of Alzheimer’s, and found that people who took up to four pills a day for a year had higher levels of amyloid-beta proteins in their spinal fluid than those who took a placebo (control) pill.

Although accumulation of amyloid-beta in the brain is a hallmark of Alzheimer’s disease, patients actually have lower levels of this protein outside of the brain. The study finding suggests that resveratrol could help change the balance from amyloid-beta buildup in the brain to circulating protein in the body.

Even if concentrated forms of resveratrol pills like the kind used in this study were available, it’s too soon to recommend going out and getting some just yet.

“The study is encouraging enough that we should certainly go ahead and do a [larger] clinical trial because we showed that it is safe and does have significant effects on Alzheimer’s biomarkers,” said Dr. R. Scott Turner, professor of neurology at Georgetown University Medical Center and lead investigator of the study, which was published on Friday in the journal Neurology.

The main goal of the current study, which included 119 patients, was to find out whether high doses of resveratrol could be safe. The only small concern they found was that patients taking resveratrol lost about two pounds during the one-year study, and weight loss is already a problem with Alzheimer’s, Turner said. In comparison, the control group gained about 1 pound.

Much more research is needed

The study was not big enough to answer some important questions, such as whether patients taking resveratrol actually had lower levels of amyloid-beta plaques in their brain, and most importantly, whether they experienced less decline in their mental faculties.

A large, phase 3 clinical trial getting at these issues could start in as soon as a year, Turner said. (The current study was a phase 2 trial, typically meant to evaluate safety and get an early look at efficacy of a new drug.)

Related: Is Alzheimer’s disease preventable?

Even for the relatively small number of participants in the study, the researchers did see indication that resveratrol could improve cognition. Patients in this group had slight improvements in their ability to carry out daily tasks, such as remembering to brush their teeth. And anecdotally, patients who took resveratrol told the researchers that they felt like they were maintaining their mental ability. (Neither the participants nor the researchers knew who was taking resveratrol and who was taking placebo.)

“To really get a better feel of how effective this could be you really need to do larger studies for longer periods of time (such as several years),” said James A. Hendrix, director of global science initiatives at the Alzheimer’s Association, a research and advocacy organization. “Other potential therapies we’ve had had some early exciting results and then they didn’t pan out in later trials,” he added.

If resveratrol does pan out in further research, it may add to the medications that are currently available, such as Aricept and Exelon, which slow, but do not halt, progression of the disease, Hendrix said.

Ultimately, it will probably be a combination of several drugs, as well as diet, exercise and social and mental stimulation that help stave off the rapid mental decline that is often associated with Alzheimer’s, he added.

Antioxidant may be most effective in combination

This is one of the first studies to look not only at these biomarkers, but also the metabolites of resveratrol in spinal fluid, to show that resveratrol is probably getting into the brain, said Dr. Giulio M. Pasinetti, who is the Saunders Family Chair and professor in neurology at the Icahn School of Medicine at Mount Sinai. However, he added that changes in biomarkers may not necessarily lead to mental and behavioral improvements, which larger studies will address.

In addition, resveratrol on its own might not end up working as well as a combination of resveratrol and other polyphenol compounds found in red wine, grape juice and grape seed extract, which could help people at risk of Alzheimer’s and those who already have mild symptoms, Pasinetti said.

Related: Healthy diet may improve memory, says study

The current study used high doses of resveratrol to increase the chances that enough of the compound got into the brain to have an effect. But for now, the best way to get resveratrol is probably through diet. One glass of red wine a day could help those with mild Alzheimer’s, “but no more than that,” Turner said.

There is probably little benefit in taking currently available resveratrol supplements, even if they claim to contain levels similar to the ones used in this study. “The things that are on the market are not regulated, and you don’t know how much is in them,” Turner said. “There could be 500 milligrams, which is what they advertise [researchers gave participants in the study four 500 milligram pills a day] or there could be zero,” he said.

Previous research has suggested that people who consume diets rich in resveratrol do not have lower rates of cancer, heart disease and other conditions.

said Dr. R. Scott Turner, professor of neurology at Georgetown University Medical Center and lead investigator of the study, which was published on Friday in the journal Neurology.

The main goal of the current study, which included 119 patients, was to find out whether high doses of resveratrol could be safe. The only small concern they found was that patients taking resveratrol lost about two pounds during the one-year study, and weight loss is already a problem with Alzheimer's, Turner said. In comparison, the control group gained about 1 pound.

Much more research is needed

The study was not big enough to answer some important questions, such as whether patients taking resveratrol actually had lower levels of amyloid-beta plaques in their brain, and most importantly, whether they experienced less decline in their mental faculties.

A large, phase 3 clinical trial getting at these issues could start in as soon as a year, Turner said. (The current study was a phase 2 trial, typically meant to evaluate safety and get an early look at efficacy of a new drug.)

Related: Is Alzheimer's disease preventable?

Even for the relatively small number of participants in the study, the researchers did see indication that resveratrol could improve cognition. Patients in this group had slight improvements in their ability to carry out daily tasks, such as remembering to brush their teeth. And anecdotally, patients who took resveratrol told the researchers that they felt like they were maintaining their mental ability. (Neither the participants nor the researchers knew who was taking resveratrol and who was taking placebo.)

To really get a better feel of how effective this could be you really need to do larger studies for longer periods of time (such as several years)

Turner said.

There is probably little benefit in taking currently available resveratrol supplements, even if they claim to contain levels similar to the ones used in this study. The things that are on the market are not regulated




Is This Messing with your MEDS?

MR. MOONLIGHT / 17-Mar-16

สมุนไพรบางชนิดกับยาจะตีกันมั้ย

เมื่อกล่าวถึงสมุนไพรที่ช่วยปรับสมดุลของอารมณ์ (mood booster) ตัวที่มีชื่อเสียงใช้แพร่หลายอย่างมากคือ St John’s wort ถ้าคุณรับประทานสมุนไพรนี้อยู่ล่ะก็เป็นไปได้ว่ามันจะไปรบกวนผลของยาที่ใช้อยู่ประจำแน่ๆ เพราะสมุนไพรตัวเล็กๆนี้สามารถลดระดับยาบางตัวในกระแสเลิอดได้ จากรายงานในวารสาร The Journal of Alternative and Complementary Medicine พบว่าสมุนไพรชนิดนี้มีปฏิกิริยากับยาคุมกำเนิด ยาละลายลิ่มเลือด ยาเคมีบำบัด และยาควบคุมความดันโลหิต มีผลทำให้มีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ และภาวะท้องไม่ตั้งใจได้ เพราะนั้นถ้าคุณทานสมุนไพรอะไรอยู่ ก็ควรแจ้งให้แพทย์ทราบทุกครั้ง การที่อาหารเสริมหรือสมุนไพรนี้มาจากธรรมชาติ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประสิทธิภาพมันจะอ่อนไปด้วย

ภาวะกระเพาะปัสสาวะเร็วเกิน

เมื่อก่อนเรามักจะโทษแบคทีเรียว่าเป็นต้นเหตุสำคัญให้กระเพาะปัสสาวะทำงานเร็วเกิน ผิดปกติ (urgency urinary incontinence) อย่างไรก็ตามการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิคาโกพบว่าเมื่อเพาะใช้ในปัสสาวะของคนที่มีอาการกลับไม่พบเชื้อใดๆทั้ง10 สายพันธ์ สิ่งนี้อธิบายได้ว่าทำไมผู้ป่วยที่มีภาวะกระเพาะปัสสาวะทำงานเร็วเกินจึงรักษาไม่ให้ด้วยวิธีการรักษารับประทานยาฆ่าเชื้อทั่วไปตามโรงพยาบาล แล้วถ้าไม่ใช่เชื้อโรค จะเป็นอะไร? ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่เราต้องศึกษาผลของช่องว่างนี้

แปลโดย แพทย์หญิง ณัฐณิชา การลพขอขอบคุณข้อมูลจาก Magazine Prevention Australia




The Surprise new Skin Protector

MR. MOONLIGHT / 13-Mar-16

ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวตัวใหม่ที่เปี่ยมประสิทธิภาพ

ปกติเมื่อถึงเวลาที่เราต้องออกไปทำงานนอกบ้าน สิ่งที่เราจะลืมไม่ได้ก็คือ “ครีมกันแดด” และ “หมวก” อย่างไรก็ตามมีการศึกษาพบว่า การดูแลจากภายในช่วยผิวให้ดีได้มากขึ้น ผลจากการทดสอบในอาสาสมัครพบว่า การรับประทานสารสกัดจากโรสแมรี่และซิตรัส (rosemary&citrus)ช่วยลดอาการผิวไหม้จากแดดได้ โดยพบว่าภายหลังการรักษา 85 วัน ต้องใช้ปริมาณของรังสี UV เพิ่มขึ้นถึง 56% ถึงจะทำให้ผิวไหม้ได้ อีกการศึกษาพบว่าอาสาสมัครที่รับประทานส้ม blood orange ลดภาวะผิวแดงจากแสงแดดได้ถึง 40%. อะไรที่ทำให้สมุนไพรเหล่านี้มีประสิทธิภาพมากมาย? คำตอบก็คือ คุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) มีการศึกษาเล็กๆ ของ Dr Joshua Zeichner จาก โรงพยาบาล Mount Sinai ในนิวยอร์กที่มักจะแนะนำคนไข้ให้เสริมสารอาหารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) เพราะช่วยลดภาวการณ์ถูกทำลายจากแสง UV ได้ เพราะฉะนั้นจะรออะไร เสริมสารต้านอนุมูลอิสระไปเลย ไม่ว่าจะเป็นจากผักหรือผลไม้ที่มีสีสันล้วนแล้วแต่อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ แต่ที่สำคัญก่อนออกจากบ้านก็อย่าลืมทาครีมกันแดดด้วยทุกครั้ง แค่นี้ผิวของคุณก็คงจะทราบซึ้งไม่น้อยกับการปรนนิบัติของคุณ

แปลโดย แพทย์หญิง ณัฐณิชา การลพขอขอบคุณข้อมูลจาก Magazine Prevention Australia




TRX? suspension training

MR. MOONLIGHT / 6-Mar-16

แม้ว่าหลายๆท่านจะยังไม่เคยได้ลอง TRX? suspension training system แต่เชื่อว่าสำหรับคนที่เข้ายิมเป็นประจำ คงจะต้องเคยได้ยิน และได้เห็นอุปกรณ์นี้กันอยู่บ่อยๆ Suspension Training? และ TRX? suspension training system คิดค้นโดย Rendy Henrick เป็นนวัตกรรมใหม่ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในวงการออกกำลังกายปัจจุบันทั่วโลก เนื่องจากอุปกรณ์ดังกล่าวสามารถใช้บริหารร่างกายได้ครบทุกส่วน และยังช่วยเสริมสร้างให้กล้ามเนื้อแกนกลางของร่างกายแข็งแรงอีกด้วย

ความพิเศษอย่างหนึ่งของ TRX? suspension คือ มันสามารถใช้ได้กับคนออกกำลังกายในทุกกลุ่ม ตั้งแต่นักกีฬาอาชีพ ทหาร ไปจนถึง ผู้ที่เริ่มต้นออกกำลังกาย ทำให้คนจำนวนมากหันมาใช้ TRX? suspension เป็นเครื่องมือเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการออกกำลังกายของพวกเขา จุดเริ่มต้นของการคิดค้นอุปกรณ์สุดพิเศษนี้ เกิดขึ้นในช่วงที่ Randy ทำงานในหน่วยรบพิเศษสหรัฐฯ และได้เคลื่อนกำลังพลไปในทวีปเอเชีย “ฉันได้สร้างอุปกรณ์ที่เจ๋งและเพื่อนของฉันชอบมาก ขณะที่ฉันอยู่ในหน่วยรบพิเศษของสหรัฐฯ (SEAL) มันถือเป็นอุปกรณ์รุ่นแรกที่ฉันได้เริ่มนำออกสู่ตลาด” Randy กล่าว

หลังจากจบคณะบริหารจากมหาวิยาลัยแสตนฟอร์ด Randy ก็ได้เริ่มต้นธุรกิจของตัวเองตั้งแต่อายุ 36 ปี Randy เดินทางไปแนะนำอุปกรณ์ของเขาพร้อมกับกระเป๋าเป้คู่ใจไปตามฟิตเนสต่างๆถึง 200 แห่ง “ฉันจะโทรนัด จัดการประชุม และขอร้องอ้อนวอนขอเวลาพวกเขา 30 นาที จากเวลา 1 ชม. ในงานเทรนพนักงาน เพื่อนำเสนอ อุปกรณ์สุดเจ๋งอันนี้” Randy กล่าว

Randy ได้มีบทบาทอย่างเต็มตัวเมื่อเขาได้รับคัดเลือกเป็นผู้ตัสินในรายการ Sweat Inc ของ Spike TV show ร่วมกับ Jillian Michaels และ Obi Obadike ซึ่งเป็นรายการการแข่งขันเพื่อแสวงหาสิ่่งใหม่ที่จะเปลี่ยนแปลงวงการฟิตเนส ในแต่ละตอน จะมีทีม(บริษัท)เข้าแข่งขัน 3 ทีม(บริษัท) และจะมีการเจาะจงในแต่ละหมวดของฟิตเนสต่างๆกันไป เช่น circuit training, interval training, platform devices เป็นต้น

“ผมเคยอยู่ในตำแหน่งนั้น ผมเคยเป็นแบบเขามาก่อน เพราะฉะนั้นผมถึงเข้าใจดีในความเจ็บปวด ในความติ่นเต้นที่พวกเขามี เวลาที่พวกเขาทำได้ดี ผมเองก็รู้สึกตื่นเต้นและตื้นตันไปกับพวกเขาด้วยจริงๆ” Randy กล่าวเมื่อพูดถึงทีมที่เข้าแข่งขันในรายการ Sweat Inc.

สิ่งพิเศษหนึ่งที่ทำให้ TRX? training system ต่างไปจากอย่างอื่นคือ ความอเนกประสงค์ที่ทำให้มันมีความสามารถรอบด้าน Randy กล่าวว่า “มันไม่ได้มีความอเนกประสงค์ในแง่ของการออกกำลังกายเท่านั้น แต่สิ่งที่สำคัญอีกอย่างของ TRX? training system คือ การที่ผู้ใช้สามารถที่จะเลือกได้ว่าจะใช้มันออกกำลังกายในระดับความหนักที่มากหรือน้อยเพียงใด เมื่อไรที่ผู้ใช้รู้สึกว่ามันหนักเกินไป และอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บต่อพวกเขาได้ ผู้ใช้ก็สามารถที่จะหยุดหรือลดระดับการออกกำลังกายได้ทันที”?

4 ท่าประสิทธิภาพ ด้วย TRX? suspension training

TRX? CRUNCH

ตำแหน่ง:

บริเวณส่วนกลางของน่อง

ท่าเริ่มต้น:

เท้าทั้งสองวางอยู่ใน cradles

ต้นแขน มือ และขาเหยียดตรง

ลำตัวอยู่ท่า plank

การเคลื่อนไหว:

งอเข่าเข้าหาหน้าอก

การจบท่า:

เหยียดขากลับไปสู่ท่า plank

TRX? BURPEE

ตำแหน่ง:

บริเวณส่วนกลางของน่อง

ท่าเริ่มต้น

เท้าข้างหนึ่งอยู่ใน cradles ลำตัวตรง ยืนให้หัวไหล่อยู่ระดับเดียวกับสะโพก

การเคลื่อนไหว:

เหยียดเข่าข้างที่อยู่ใน cradles ไปทางด้านหลัง

ย่อสะโพกลงจนเข่าด้านหลังอยู่เหนือจากพื้นเป็นระยะ 2 นิ้ว

วางมือทั้งสองลงกับพื้น

กระโดดให้ขาอีกข้างหนึ่ง(เดิมวางอยู่บนพื้น)เข้าไปอยู่ใน cradles

จัดท่าให้ลำตัวตรงอยู่ในท่า plank

บริหารโดยการวิดพื้น

การจบท่า:

ปลดขาข้างที่อยู่ที่พื้นในตอนแรกออกก่อน โดยปลดออกมาแล้วงอเข่ามาทางด้านลำตัว วางขาข้างนั้นบนพื้น

จากนั้นปลดเท้าอีกข้างหนึ่งออกจาก cradle อย่างรวดเร็วและจบท่าด้วยการกระโดด

TRX? SIDE PLANK

ตำแหน่ง:

บริเวณส่วนกลางของน่อง

ท่าเริ่มต้น:

นอนลงบนพื้นโดยใช้ด้านข้างของลำตัวเป็นส่วนที่สัมผัสพื้น จัดท่าให้สะโพกตั้งฉากกับพื้น วางต้นแขน แขน และมือของข้างที่สัมผัสพื้นไว้ใต้หัวไหล่ เท้าทั้งสองข้างอยู่ใน cradles วางซ้อนกัน โดยให้ส้นเท้าของเท้าด้านบน อยู่ระดับเดียวกันกับหัวแม่เท้าของเท้าด้านล่าง

การเคลื่อนไหว:

ยกตัวขึ้นโดยให้สะโพกยกลอยจากพื้น อยู่ในระนาบเดียวกันกับหัวไหล่, หัวไหล่ และต้นแขน ยกลอยจากพื้นในระนาบเดียวกัน, แขนท่อนล่าง(ตั้งแต่ขอศอกลงไป)และมือวางรับน้ำหนักไว้ที่พื้น

การจบท่า:

วางสะโพกลงกับพื้นอยู่ในท่าเริ่มต้น

TRX? OBLIQUE CRUNCH

ตำแหน่ง:

บริเวณส่วนกลางของน่อง

ท่าเริ่มต้น:

เท้าทั้งสองวางอยู่ใน cradles

ต้นแขน มือ และขาเหยียดตรง

ลำตัวอยู่ท่า plank

การเคลื่อนไหว:

งอเข่าทั้งสองข้างไปทางไหล่ด้านซ้าย

การจบท่า:

เหยียดขากลับไปสู่ท่า plank

จากนั้นงอเข่าทั้งสองข้างไปทางไหล่ด้านขวา

interval training

แขนท่อนล่าง(ตั้งแต่ขอศอกลงไป)และมือวางรับน้ำหนักไว้ที่พื้น

การจบท่า:

วางสะโพกลงกับพื้นอยู่ในท่าเริ่มต้น

TRX? OBLIQUE CRUNCH

ตำแหน่ง:

บริเวณส่วนกลางของน่อง

ท่าเริ่มต้น:

เท้าทั้งสองวางอยู่ใน cradles

ต้นแขน มือ และขาเหยียดตรง

ลำตัวอยู่ท่า plank

การเคลื่อนไหว:

งอเข่าทั้งสองข้างไปทางไหล่ด้านซ้าย

การจบท่า:

เหยียดขากลับไปสู่ท่า plank

จากนั้นงอเข่าทั้งสองข้างไปทางไหล่ด้านขวา

"




ProGreen ENERGY with NT FACTOR

MR. MOONLIGHT / 3-Mar-16

ProGreens Energy combines the “Super Food” blend of original ProGreens with energetic and adaptogenic ingredients, including NT Factor Lipid Blend, Maca, Gotu Kola, Gojiberry, and Asparagus root, increased Suma, Astragalus, Licorice, and Ginger, and Palm Tocotrienols, with a natural balance of all four tocotrienols. ProGeens Energy also has the original ingredients found in ProGreens- organic grasses, probiotics, vegetable superfoods, sea vegetables, bee products, and fibers. Gluten Free!

We started with ProGreens? – broad-spectrum nutritional support and natural food factors not found in isolated nutrients. Then we added the well-researched mitochondrial and membrane support of NT Factor EnergyLipids, a variety of adaptogenic herbs, and full-spectrum palm tocotrienols. The results is a complete energy whole food green drink!

Suggested Use

As a dietary supplement, add 1 scoop (9.0 g) to shaker containing 8 oz. of juice or water, drink immediately. Best taken on an empty stomach in the morning. More than one serving daily may be taken if desired.

โปรกรีน เอเนอร์จี ประกอบไปด้วย สารอาหารจากซุปเปอร์ฟู้ดต่างๆ ที่เพิ่มพลังงานและเป็น Adaptogen ที่ช่วยปรับสภาพร่างกายสามารถต่อต้านความเครียด และปรับสมดุลระบบในร่างกายให้คืนสู่สภาวะปกติ พร้อมกับส่วนประกอบของฟอสโฟไลปิด(Phospholipid) และไกลโคไลปิด(Glycolipid) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของเยื่อหุ้มเซลล์ เช่น เซลล์ของสมอง เส้นประสาท และไมโตคอนเดรีย(Mitochondria) ช่วยในการทำงานของเยื่อหุ้มเซลล์อย่างมีประสิทธิภาพและเป็นแหล่งผลิตพลังงานให้แก่เซลล์ในร่างกาย

สารสกัดจากธรรมชาติ ได้แก่ มาคา(Maca), ใบบัวบก(Gotu Kola), เก๋ากี้(Gojiberry), รากหน่อไม้ฝรั่ง(Asparagus root), แอสตรากาลัส(Astragalus), ซูมา(Suma), ชะเอมเทศ(Licorice), ขิง(Ginger), กลุ่มวิตามินอีจากปาล์ม(Palm Tocotrienols), เกสรผึ้งและนมผึ้ง(Bee products) รวมทั้งโพรไบโอติกส์(Probiotics) และไฟเบอร์ ปราศจากกลูเตน

ขนาดวิธีใช้ 1 ช้อน ชงละลายในน้ำเปล่า หรือ น้ำผลไม้ ดื่มขณะท้องว่างในตอนเช้า หรือตามความต้องการ

including NT Factor Lipid Blend

Gojiberry




Protecting Muscle Mass As You Age

MR. MOONLIGHT / 2-Mar-16

การป้องกันภาวะกล้ามเนื้อพร่อง

ในปัจจุบันพบว่า มนุษย์เราหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพกันมากขึ้น พยายามหาวิธีที่จะป้องกันไม่ให้แก่ และคงความเป็นหนุ่มเป็นสาวไว้ให้นานที่สุด แต่ที่สำคัญที่สุดคือ การคงไว้ซึ่งสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ แน่นอนว่า เมื่ออายุมากขึ้น โรคที่เกิดจากอายุที่มากขึ้น มักจะตามมาด้วยเช่นกัน

โรค Sarcopenia หรือ ภาวะกล้ามเนื้อพร่อง เป็นภาวะที่มีการสูญเสียมวลกลามเนื้อ รวมทั้งกำลังกล้ามเนื้อ โดยเป็นมากขึ้นตามวัยที่เพิ่มขึ้น นั่นคือ มักเกิดกับผู้สูงอายุนั่นเอง มีการศึกษาความชุกการเกิดภาวะกล้ามเนื้อพร่องในชายหญิงอายุ 64-93 ปี พบว่ามีภาวะกล้ามเนื้อพร่องในผู้หญิง 22.6% และในผู้ชาย 26.8% และเมื่อศึกษาในผู้ที่มีอายุมากกว่า 80 ปีพบภาวะกล้ามเนื้อพร่องมากถึง 50%

ในผู้สูงอายุที่มีภาวะกล้ามเนื้อพร่องนี้ จะทำให้ความสามารถในการทำงานของกล้ามเนื้อลดลง ทำให้กำลังลดลง อ่อนเพลีย ไม่มีแรง และมีความเสี่ยงหกล้มง่าย รวมทั้งการเกิดกระดูกหักด้วย ถ้าเกิดขึ้น หายยากต้องนอนพักระยะยาว และต้องพึ่งพาผู้อื่นดูแล ไม่สามารถใช้ชีวิตแบบคนปกติทั่วไปได้ ซึ่งส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ

สาเหตุการเกิดภาวะกล้ามเนื้อพร่อง มีหลายปัจจัย ได้แก่ การลดลงของฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน(Testosterone) และโกรทฮอร์โมน(Growth hormone) การได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ การไม่ได้ใช้กล้ามเนื้อหรือการมีกิจกรรมทางกายที่ลดลง เป็นต้น ปัจจุบันยังไม่มีแนวทางรักษา แต่มีวิธีป้องกันเพื่อลดความเสี่ยงการเกิดภาวะกล้ามเนื้อพร่องนี้ได้ ดังนี้

1. การออกกำลังกาย

พบว่าการออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน(Strength training, resistance training) โดยใช้ลูกตุ้มน้ำหนักหรือเครื่องออกกำลังกาย สามารถเพิ่มการทำงานของกล้ามเนื้อและคงความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ จากการศึกษาในกลุ่มชายสูงอายุ วัย 69-74 ปี ให้ออกกำลังกายขาแบบแรงต้านเป็นประจำ 3 ครั้งต่อสัปดาห์ เป็นเวลา 3 เดือน พบว่า มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขาเพิ่มขึ้น 9-22% และเมื่อเพิ่มแรงต้านในการออกกำลังกายมากขึ้น พบว่า สามารถเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขาได้มากถึง 107-226% และได้ทำการศึกษาในกลุ่มหญิงสูงอายุ ผลที่ได้เช่นเดียวกัน คือสามารถเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้มากขึ้น

2. วิตามินอี

จากการศึกษาพบว่า วิตามินอี สามารถลดการสลายของกล้ามเนื้อจากอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะที่เกิดจากการออกกำลังกาย แน่นอนว่าการออกกำลังกายดีต่อสุขภาพ แต่ขณะเดียวกัน การออกกำลังกายสามารถทำให้เกิดอนุมูลอิสระได้ด้วยเช่นกัน มีการศึกษาทดลองการให้รับประทานวิตามินอี ปริมาณ 1000 IU ทุกวัน เป็นเวลา 3 เดือน ในกลุ่มผู้ที่ออกกำลังกายหนัก กลุ่มอายุ 23-35 ปี และ กล่มสูงอายุ 66-78 ปี เปรียบเทียบกับให้ยาหลอก พบว่า ทั้งกลุ่มอายุน้อยและกลุ่มสูงอายุ ที่ได้รับวิตามินอี ตรวจพบสารอนุมูลอิสระที่สามารถทำลายกล้ามเนื้อ มีปริมาณน้อยกว่ากลุ่มที่รับประทานยาหลอก

3. ครีเอทีน

เป็นหนึ่งในอาหารเสริมที่มีผู้นิยมรับประทานมากเป็นอันดับต้นๆ โดยเฉพาะนักกีฬาเนื่องจากครีเอทีน สามารถช่วยเพิ่มพลังความแข็งแรงในระหว่างการออกกำลังกาย จึงช่วยในการออกกำลังกายที่หนักหน่วงได้นานขึ้น อดทนขึ้น และยังป้องกันการสูญเสียกล้ามเนื้อขณะออกกำลังกายด้วย ครีเอทีนเป็นอาหารเสริมที่มีความปลอดภัยและไม่มีผลข้างเคียง จึงแนะนำในผู้สูงอายุที่มีความเสี่ยงเรื่องกล้ามเนื้อพร่องได้ จากการศึกษาการให้ครีเอทีน ในกลุ่มผู้ชาย อายุ 68-72 ปี และร่วมออกกำลังกายแบบแรงต้าน เป็นเวลา 3 ครั้งต่อสัปดาห์ นาน 3 เดือน พบว่า กลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รับประทานครีเอทีน มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและมีความทนต่อการออกกำลังกายนานกว่ากลุ่มผู้สูงอายุที่ได้รับยาหลอก

4. คาร์โนซีน

เป็นสารประกอบกรดอะมิโนที่มีอยู่ในร่างกาย จะมีอยู่หนาแน่นในบริเวณกล้ามเนื้อ มีการศึกษาความสัมพันธ์ของความเข้มข้นคาร์โนซีนในกล้ามเนื้อกับอายุ พบว่า อายุที่มากขึ้น ทำให้ความเข้มข้นคาร์โนซีนในกล้ามเนื้อลดลง 63% คาร์โนซีนมีบทบาทสำคัญในการป้องกันโรคหลอดเลือดตีบ การเกิดต้อกระจก และช่วยเพิ่มการมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น เนื่องจาก คาร์โนซีนสามารถทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระได้ ทั้งนี้ซึ่งส่งผลดีต่อกระบวนการสูงวัยในการป้องกันการสลายของกล้ามเนื้อและช่วยในการเพิ่มมวลกล้ามเนื้อได้ด้วย

5. ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน

เป็นฮอร์โมนที่มีความสำคัญต่อกล้ามเนื้อ เมื่ออายุมากขึ้น ระดับเทสโทสเทอโรนก็ลดลงตามไปด้วย จึงเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อพร่อง ได้ทำการศึกษาทดลอง การให้ฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนเสริม ในกลุ่มผู้ชายสูงอายุ ที่มีเทสโทสเทอโรนระดับต่ำ อายุ 64-69 ปี จำนวน 6 คน และอีกกลุ่มหนึ่งอายุ 60-78 ปี จำนวน 10 คน พบว่า ผู้ที่ได้รับเทสโทสเทอโรนเสริมนั้น มีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมากขึ้น มวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น สามารถออกกำลังกายได้นานขึ้น

6. โกรทฮอร์โมน

เป็นฮอร์โมนที่ขึ้นชื่อว่า ฮอร์โมนแห่งความหนุ่มสาว ซึ่งพบว่า ฮอร์โมนชนิดนี้มีสูงมากตอนวัยหนุ่มสาว และลดลงเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น จากการศึกษาทดลองให้โกรทฮอร์โมน กับผู้ชายสุขภาพดี จำนวน 21 คน อายุ 61-81 ปี ระยะ 6 เดือน พบว่า มีมวลกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น 8.8%, มวลเนื้อเยื่อไขมัน เพิ่มขึ้น 14.4%, ความหนาแน่นกระดูก เพิ่มขึ้น 1.6% ซึ่งนักวิจัยสรุปได้ว่า การลดลงของโกรทฮอร์โมน ทำให้ลดการสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มการสะสมไขมันมากขึ้น ดังนั้น การเสริมด้วยโกรทฮอร์โมน จึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถช่วยลดการเกิดภาวะกล้ามเนื้อพร่องได้ แต่การใช้โกรทฮอร์โมน มีข้อจำกัดในการให้เช่นเดียวกัน นอกจากราคาที่แพงมากแล้ว ยังพบว่า อาจเกิดผลข้างเคียงจากการบวมน้ำ ข้อบวม ปวดหัว หรืออ่อนเพลียได้ ดังนั้นการฉีดโกรทฮอร์โมน จึงควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด แต่ยังมีข่าวดี การเสริมโกรทฮอร์โมน นอกจากการฉีดแล้ว ยังพบว่า การรับประทานอาหารเสริมจำพวกกรดอะมิโน ได้แก่ อาร์จินีน(Arginine), ไลซีน(Lysine), กลูตามีน(Glutamine) สามารถกระตุ้นให้ร่างกายผลิตโกรทฮอร์โมนได้ด้วยเช่นกัน

Download Full English Version

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Life Extension Magazine August 2013แปลโดย คุณวิลาสินี บุดดา




Berberine คืออะไร?

MR. MOONLIGHT / 29-Feb-16

Berberine เป็นสารสกัดอัลคาลอยด์ ได้มาจากพืชสมุนไพรจีนที่ใช้กันมาอย่างยาวนาน สกัดได้จากส่วนเถา ราก และเปลือกของพืช มีคุณสมบัติต้านเชื้อชนิดต่างๆ ทั้งแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา โปรโตซัว พยาธิ เชื้อคลาไมเดีย จึงสามารถนำมาใช้ในอาการต่างๆ เช่น ท้องเสีย โรคพยาธิ ตาอักเสบติดเชื้อ

Berberine สกัดจาก Golden seal(Hydrastis Canadensis), Coptis or goldenthread(Coptis chinensis, Oregon grape(Berberis aquifolium), Barberry(Berberis vulgaris), Tree turmeric(Berberis aristata)

คุณสมบัติ Berberine

Berberine ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ การศึกษาพบว่า การให้รับประทาน Berberine ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว(Heart failure) ภาวะหัวใจขาดเลือดจากกล้ามเนื้อหัวใจเต้นผิดจังหวะ โดยBerberine ช่วยเกี่ยวกับสุขภาพหัวใจ ดังนี้

ลดการเกิด Free fatty acid ซึ่งสามารถลดไขมันได้ทั้ง Triglyceride, LDL-cholesterol และ Total cholesterol
เพิ่ม Nitric Oxide(NO) ให้กับร่างกาย ซึ่งส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ง่ายขึ้น ความดันโลหิตจึงลดลง และยังควบคุมไม่ให้เกิดก้อนเลือด ที่อาจทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดสมอง หัวใจ และเส้นเลือดแข็ง(Artherosclerosis)
เพิ่ม Nitric Oxide(NO) ให้กับร่างกาย ซึ่งส่งผลให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ง่ายขึ้น ความดันโลหิตจึงลดลง และยังควบคุมไม่ให้เกิดก้อนเลือด ที่อาจทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดสมอง หัวใจ และเส้นเลือดแข็ง(Artherosclerosis)

ดังนั้น ตามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ จะเป็นตัวช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหัวใจ

Berberine มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ จากการศึกษาพบว่า Berberine ช่วยยับยั้ง prtein1(AP-1) ซึ่งเป็นสารอักเสบและสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ยังหยุดการเปลี่ยนแปลงของเม็ดเลือดขาวLymphocyte โดยไปมีผลต่อการสังเคราะห์DNA ของLymphocyte นี้ ซึ่งเป็นสาเหตุของกระบวนการอักเสบ และยังช่วยการหายของแผลเร็วขึ้น โดยการไปยับยั้งสารอักเสบ Arachidonic acid, Thrombohexane A2 และ Thrombus formation
ในตัว Berberine พบว่าสามารถเพิ่มนอร์อิพิเนพฟริน(Norepinephrine) และ เซโรโทนิน(Serotonin) ในสมอง ช่วยป้องกันการเกิดโรคซึมเศร้า(Antidepression) และยังพบว่าสามารถป้องกันโรคอัลไซเมอร์(Alzheimer’s) ได้อีกด้วย โดยการยับยั้งการเกิด ?-amyloids pathways ได้ รักษาอาการท้องเสียจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Vibrio cholera และ Escherichia coli โดยลดการฝังตัวของเชื้อบริเวณผิวผนังลำไส้ ซึ่งเป็นขั้นตอนแรกของกระบวนการติดเชื้อ ทำให้เชื้อหยุดการเจริญ จึงลดการบีบรัดตัวของลำไส้และ ลดการขับออกของน้ำและเกลือแร่
มีฤทธ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อ Giardia lambia, Entamoeba histolytica, Trichomonas vaginalis, and Leishmania donovani เชื้อ Giardia lambia (giardiasis) เป็นปรสิตที่พบได้ทั่วไป โดยเฉพาะในเขตร้อนชื้น โดยพบการติดเชื้อในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ จากการทดลองในประเทศอินเดีย พบว่า Berberine สามารถลดการอาการการติดเชื้อนี้ โดยลดอาการปวดท้อง ท้องเสีย ลำไส้อักเสบ และการตรวจอุจจาระพบว่า มีจำนวนเชื้อน้อยลง และเมื่อทำการเปรียบเทียบกับยา Metronidazole(Fragyl) พบว่า Bererine ให้ประสิทธิภาพในการรักษาใกล้เคียงกัน

นอกจากนี้ จากการศึกษา พบว่า Berberine ลดการติดเชื้อบิด E.histolytica

และเชื้อTrichomonas vaginalis หรืออาการตกขาวผิดปกติ โดยทำลายเชื้อของระยะ Trophozoite

Berberine สามารถรักษาตาอักเสบจากเชื้อ Chlamydia trachomatis จากการศึกษาในผู้ป่วยคลินิกตา พบว่า เมื่อใช้

Berberine chloride eye drop แล้วตรวจหาเชื้อจากเยื่อบุตา ผลไม่พบเชื้อ C. trachomatis ในผู้ป่วย




The Sleep Plan

MR. MOONLIGHT / 28-Feb-16

การนอนหลับที่ดีมีความสำคัญต่อร่างกาย

การนอนหลับอย่างเพียงพอ ถือเป็นสิ่งสำคัญของชีวิต เป็นเวลาที่ร่างกายผลิตและสะสมพลังงาน เปรียบได้กับ เรามีโรงงานผลิตยาที่มีประสิทธิภาพอยู่ในสมอง และเพื่อการผลิตโดสยาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดออกมา จึงต้องอาศัยช่วงเวลาของการนอนหลับนี้

ประโยชน์ของการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอมีมากมาย เช่น ร่างกายมีความกระฉับกระเฉง ไม่เหนื่อย ไม่เพลีย สมองไม่ตื้อ ภูมิคุ้มกันดี สุขภาพดี ไม่เป็นโรคร้ายแรงต่างๆ

มาดูกันว่า เคล็ดลับการนอนหลับที่ดีเป็นอย่างไร เริ่มตั้งแต่เช้าตรู่จนถึงเวลาเข้านอน

6.30 น.ตื่นนอนตอนเช้า เวลานี้ควรตื่นนอนได้แล้ว เพื่อให้สอดคล้องกับการหลั่งฮอร์โมนแห่งพลังงานของเช้าวันใหม่ นั่นคือ ฮอร์โมนคอร์ติซอล และสอดคล้องกับฮอร์โมนเมลาโทนินที่ลดต่ำลงด้วย

6.45 น.ควรออกไปเดินข้างนอก รับกับแสงแดดยามเช้า เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัวและรู้สึกสดชื่น ลดอาการง่วงเหงาหาวนอนจากการนอนเมื่อคืน

12.00 น.หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม ดาร์กช็อกโกแลต เพราะคาเฟอีนจะกระตุ้นให้ร่างกายตื่นตัว ทำให้นอนหลับได้ยาก

14.30 น.งีบ ประมาณ 20 นาที การงีบหลับช่วงกลางวันที่มีแสง ไม่ได้ทำให้หลังตื่นมาแล้วมึนงง แต่กลับพบว่า ร่างกายกระปรี้กระเปร่า รู้สึกสดชื่น สมองปลอดโปร่ง ตาสว่าง อารมณ์ดี มีความคิดสร้างสรรค์ผลงาน

18.00 น.เลี่ยงการทานหนักๆในมื้อเย็น เพราะการอิ่มมาก อาจทำให้ แน่นท้อง กรดไหลย้อน มีผลต่อการในตอนกลางคืน ถ้าอยากทานมื้อหนัก ควรเป็นตอนเที่ยงจะดีกว่า

21.30 น.ทานอาหารเบาๆก่อนนอน ช่วยเพิ่มการนอนหลับได้ เช่น ขนมแครกเกอร์ทาเนยถั่ว หรือนมอุ่นแอลมอนด์สักแก้ว ในถั่วและขนมปังแครกเกอร์ มีทริปโตฟาน สารเคมีที่ทำให้รู้สึกง่วงนอน ซึ่งช่วยหลั่งฮอร์โมนเซโรโทนิน ที่มีส่วนสำคัญต่อการนอนหลับ

21.45 น.สร้างบรรยากาศในห้องนอนให้เหมาะสม อุณหภูมิในห้องต้องเย็นพอดี เพราะอุหภูมิในร่างกายจะต่ำลงช่วงเวลาประมาณตีห้า ถ้าห้องร้อนเกินไป อาจเป็นการปลุกให้ตื่นขึ้นมาได้ อุณหภูมิที่เหมาะกับการนอน ประมาณ 20 องศา

22.15 น.ใช้กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยจากลาเวนเดอร์ จะช่วยลดการเต้นของหัวใจและความดัน ทำให้ความรู้สึกที่ผ่อนคลายและช่วยให้การนอนหลับสบายยิ่งขึ้น และตื่นมาด้วยความกระปรี้กระเปร่า

22.30 น.เปิดเสียงคลอเบาๆ จะช่วยให้หลับลึกยิ่งขึ้น การศึกษาพบว่า เสียงที่เปิดระหว่างการนอนหลับ ไม่ได้ทำให้ตื่นขึ้น แต่กลับทำให้การนอนมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น เสียงฝนตก เป็นต้น

ลองนำเคล็ดลับต่างๆ เหล่านี้ไปปฏิบัติกันดู แต่หากพบว่า ยังมีอาการนอนไม่หลับ มากกว่า 2 สัปดาห์ ควรไปปรึษาแพทย์เพื่อค้นหาสาเหตุและรักษาอาการนอนไม่หลับ

การนอนหลับอย่างพอเพียงทั้งระยะเวลา และคุณภาพของการนอนหลับจะเป็นปัจจัยในการส่งเสริมสุขภาพที่ดีเหมือนกับการรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ และการออกกำลังกาย




Your Quick Fix for Misery Guts : วิธีซ่อมลำไส้รั่ว

MR. MOONLIGHT / 27-Feb-16

ลำไส้ไม่เพียงแค่มีหน้าที่ในการย่อยและดูดซึมอาหารเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่สำคัญในการเป็นปราการแบ่งแยกสิ่งแวดล้อมภายนอกและภายใน คัดกรองสารพิษหรือสารเคมีต่างๆ ไม่ให้เข้าสู่ร่างกายของเราอีกด้วย หากลำไส้เกิดทำงานผิดพลาดไม่สามารถแยกแยะการดูดซึม หรือคัดกรองสารอาหารหรือสารพิษต่างๆ เข้าสู่ร่างกาย ก็จะเกิดปัญหาตามมาได้ ซึ่งเราเรียกภาวะความผิดปกติแบบนี้ว่า “Leaky Gut syndrome” หรือ “ลำไส้รั่ว” นั่นเอง

ภาวะลำไส้รั่วนี้ เซลล์จะยอมให้ อาหารที่ย่อยไม่สมบูรณ์ สารพิษ แบคทีเรีย หลุดผ่านผนังลำไส้และเข้าสู่กระแสเลือดได้

ของเสียเมื่อเข้าสู่กระแสเลือด ก็เปรียบเหมือนเป็นสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย ร่างกายก็จะปฏิเสธและต่อต้าน ด้วยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำงานหนักขึ้น เพื่อมาต่อต้าน ผลที่ตามมาก็คือ อาการอันไม่พึงประสงค์ ส่งผลเสียต่อร่างกาย ตัวอย่างเช่น

- เหนื่อย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง

- ไวต่อการเกิดปฏิกิริยากับอาหาร แพ้อาหารหลายชนิด

- อักเสบเรื้อรัง ปวดข้อ ข้ออักเสบ

- ปวดท้อง ท้องผูก ท้องเสีย

- ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย

- ผื่นแพ้ไม่ทราบสาเหตุ สิวเรื้อรัง ผิวหนังอักเสบ

- หงุดหงิด ซึมเศร้า อารมณ์แปรปรวน

- สมาธิสั้น ความจำไม่ดี

- หายใจเร็วตื้น หายใจไม่อิ่ม

- เหนื่อยง่าย ออกกำลังกายไม่ทน

- ระบบภูมิคุ้มกันแปรปรวน โรคภูมิคุ้มกันทำลายตัวเอง

การมีสุขภาพลำไส้ที่ดี ก็จะเป็นพื้นฐานของการมีสุขภาพที่ดี มาดูแนวทางการรักษาภาวะลำไส้รั่ว

มี 4 ขั้นตอน ดังนี้

Remove: คือ การหลีกเลี่ยงหรือกำจัดต้นเหตุที่ทำลายลำไส้

เป็นสิ่งแรกที่ควรปฏิบัติ กำจัดทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เกิดภาวะลำไส้รั่ว เช่น แอลกอฮอล์ กลูเตน(สำหรับผู้ที่แพ้โปรตีนข้าวสาลี) ยาปฏิชีวนะ ยาต้านการอักเสบแบบไม่ใช่สเตียรอยด์(NSAID) และอาหารที่แพ้ ซึ่งเราจะทราบได้จากการไปตรวจเลือด เพื่อจะได้ทราบว่าอาหารชนิดใดบ้างที่รับประทานได้ ชนิดใดบ้างที่ควรงดและหลีกเลี่ยง

Replace: แทนที่ด้วยอาหารที่ช่วยซ่อมลำไส้

เพิ่มอาหารหรือสารที่ทำให้เกิดกระบวนการย่อยอาหารได้อย่างสมบูรณ์ ดื่มน้ำให้เพียงพอ และเพิ่มการทานกากใยอาหาร เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายของเสียทำงานอย่างเป็นปกติ เช่น ข้าวโอ๊ต ข้าวกล้อง คีนัว ไซเลียมฮัสก์(Psyllium Husk) ผักผลไม้ชนิดต่างๆ เอนไซม์ช่วยย่อย เช่น กรดไฮโดรคลอริก บีเทน(Betain เอนไซม์ช่วยย่อยจากสับปะรด)หรือสมุนไพรที่ช่วยการทำงานของลำไส้

Reinoculate: เติมอาหารให้แบคทีเรียชนิดดี

อินนูลิน เป็นเส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้ ปกติร่างกายจะย่อยและดูดซึมไม่ได้ แต่เหมาะสำหรับเป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียชนิดดี (Probiotics) อินนูลินพบได้ในพืชหลายชนิด เช่น ชีคโอะริ (Chicory), หัวหอม, หน่อไม้ฝรั่ง, แก่นตะวัน (Jerusalem artichoke) อินนูลิน มีรสชาติหวาน สามารถใช้แทนนน้ำตาลได้ โดยไม่เพิ่มแคลอรี่ให้กับร่างกาย เป็นทางเลือกสำหรับผู้ที่ขาดหวานไม่ได้

Repaire: ซ่อมแซมด้วยอาหารเสริม

ขั้นตอนนี้เป็นขั้นตอนสุดท้าย เป็นการให้สารอาหารหลากหลายชนิดที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการซ่อมแซม และฟื้นฟูผนังลำไส้ให้กลับคืนสภาพที่สมบูรณ์และแข็งแรงดังเดิม ดังนี้

วิตามินต่างๆ เช่น วิตามินเค วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน กรดโฟลิค

สารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่น เซเลเนี่ยม แคโรทีนอยด์ กลูตามีน แกมมาออริซานอล ซิงค์ กรดไขมันจำเป็น เช่น โอเมก้า 3

หัวหอม




Rebalance Hormone: ปรับสมดุลให้ฮอร์โมนในร่างกาย

MR. MOONLIGHT / 22-Feb-16

ฮอร์โมนเลปติน : ฮอร์โมนเลปตินสูง หิวตลอดเวลา

ฮอร์โมนเลปติน(Leptin) เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ฮอร์โมนความอิ่ม เป็นฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่ผลิตขึ้นจากเซลล์ไขมัน โดยฮอร์โมนชนิดนี้ทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณจากเซลล์ไขมันไปยังสมองเพื่อให้หยุดความอยากอาหาร และรับรู้ถึงความรู้สึกอิ่ม

เลปติน อาจโดนขัดขวางการทำงานจากปริมาณน้ำตาลฟรุคโตสที่สูง โดยเมื่อเรารับประทานอาหารที่มีน้ำตาลฟรุคโตสสูง ไม่ว่าจะเป็น ผลไม้ที่มีรสหวานมากๆ หรือ อาหารที่ผ่านขบวนการปรุงแต่ง(processed food) เมื่อน้ำตาลเข้าสู่ร่างกาย ตับทำหน้าที่เปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นพลังงานแก่ร่างกาย แต่เมื่อมีปริมาณน้ำตาลที่เยอะเกินไป ตับจะไม่สามารถเผาผลาญน้ำตาลได้ทัน ร่างกายจึงเปลี่ยนน้ำตาลส่วนเกินเก็บในรูปของไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ เก็บตามอวัยวะต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ตับ เอว หรือหน้าท้อง เมื่อร่างกายมีไขมันมาก ร่างกายก็จะผลิตฮอร์โมนเลปตินออกมามากเช่นกัน (เลปตินผลิตจากเซลล์ไขมัน) แต่การที่ร่างกายมีฮอร์โมนตัวใดตัวหนึ่งที่มากเกินไป ก็มักจะทำให้ร่างกายไม่ตอบสนองต่อการทำงานฮอร์โมนชนิดนั้น เช่นเดียวกันกับเลปติน เรียกว่า ภาวะดื้อเลปติน ซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายต่อต้านฮอร์โมนชนิดนี้ทำให้เกิดอาการหิวอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเลปตินไม่สามารถส่งสัญญาณไปยังสมองได้ ทำให้กินเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม ซึ่งจะเป็นวงจรวนไปอยู่เช่นนี้

ฮอร์โมนอินซูลิน : ฮอร์โมนอินซูลินสูง เซลล์ไขมันขยายใหญ่

อย่างที่เคยกล่าวไว้ บางคนควบคุมอาหาร บางคนออกกำลังกายหนักมาก แต่น้ำหนักไม่ลงเลย ซึ่งสาเหตุก็เป็นเพราะความไม่สมดุลของฮอร์โมนนั่นเอง ฮอร์โมนอินซูลินนี้ก็เป็นอีกหนึ่งตัว ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการเผาผลาญของร่างกาย การที่ร่างกายลดน้ำหนักยาก เชื่อว่า เกิดจากการที่ร่างกายไม่สามารถนำอินซูลินไปใช้ได้ หรือที่เราเรียกว่า ภาวะดื้ออินซูลิน นั่นเอง

ภาวะดื้ออินซูลินเกิดขึ้นได้อย่างไร ภาวะดื้ออินซูลินเกิดจาก การรับประทานอาหารพวกแป้งและน้ำตาลมากเกินไป ในขณะที่ร่างกายได้รับน้ำตาล อินซูลินจะถูกหลั่งออกมาจากตับอ่อนเพื่อนำน้ำตาลจากเลือดเข้าไปในเซลล์ของร่างกายเพื่อใช้เป็นพลังงาน และน้ำตาลที่เหลือถูกเก็บเป็นไกลโคเจนไว้ที่ตับและกล้ามเนื้อ เพื่อใช้เป็นพลังงานสำรองในเวลาที่ร่างกายขาดอาหาร แต่ขณะเดียวกัน หากเรายังทานน้ำตาลในปริมาณมากเกินความต้องการของร่างกาย ร่างกายจะเพิ่มการหลั่งอินซูลินให้มากขึ้นเพื่อให้เพียงพอต่อระดับน้ำตาลที่สูง แต่อินซูลินที่ถูกผลิตออกมาไม่สามารถทำงานได้ปกติ ตับอ่อนจึงพยายามผลิตออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ร่างกายมีระดับฮอร์โมนอินซูลินสูงอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่สามารถทำหน้าที่ได้ และน้ำตาลจึงไม่ถูกนำไปเก็บที่ตับและกล้ามเนื้อ แต่จะถูกเก็บเป็นไขมันไว้ที่เซลล์ไขมันแทน ซึ่งเซลล์ไขมันสามารถรองรับและขยายใหญ่ได้มากถึง 4 เท่า นี่จึงเป็นสาเหตุของน้ำหนักเกิน และความอ้วน ภาวะฮอร์โมนสูงเกินไปทั้งหมดนี้ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้การเผาผลาญของร่างกายทำงานไม่ปกติ ไม่ว่าจะเป็นฮอร์โมน เอสโตรเจน คอร์ติซอล เลปติน และอินซูลิน แต่เรายังมีวิธีที่จะช่วยให้ฮอร์โมนเหล่านี้กลับมาทำงานอย่างปกติได้ดังเดิม โดยหลักการคือ ให้ฮอร์โมนเหล่านี้หยุดพักก่อน เป็นเวลา 72 ขั่วโมง หรือ 3 วัน และหลังจากนั้น ร่างกายจะสามารถนำฮออร์โมนเหล่านี้กลับมาใช้ได้อีกครั้งหนึ่ง หรือที่เรียกว่า การรีเซ็ตฮอร์โมน

การรีเซ็ตฮอร์โมน วิธีการคือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหารใน 21 วัน โดยแบ่งเป็นช่วงละ 3 วัน ซึ่งจะมีวิธีการทั้งหมด 7 อย่างสั้นๆดังนี้

วันที่ 1-3 :เริ่มการรีเซ็ต โดยการหยุดทานอาหาร 2 อย่างที่ทำให้เพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจน คือ เนื้อ กับแอลกอฮอล์ และแทนที่ด้วยการทารผักและไฟเบอร์

วันที่ 4-6 :ปรับระดับฮอร์โมนอินซูลินให้คงที่ โดยการหยุดทานอาหารจุบจิบ ของหวาน น้ำตาล และต้องทานอาหารมื้อหลักให้ตรงเวลาเป็นประจำ

วันที่ 7-9 :หยุดทานผลไม้ที่หวานมากๆ จะช่วยรีเซ็ตฮอร์โมนเลปติน ทำให้รู้สึกอิ่มและหยุดทานอาหาร

วันที่ 10-12 :หยุดดื่มกาแฟ ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นทำให้เกิดการหลั่งคอร์ติซอล

วันที่ 13-15 :แนะนำหยุดถั่วต่างๆ เพราะทำให้น้ำตาลสูงได้

วันที่ 16-18 :กระตุ้นการทำงานของโกรทฮอร์โมน ซึ่งเป็นตัวที่ช่วยเร่งการเผาผลาญของร่างกาย อาหารแนะนำ คือ นมแอลมอนด์

วันที่ 19-21 :สุดท้าย คือ หลีกเลี่ยงสารพิษต่างๆ เช่น ยาฆ่าแมลง ยาปรับศัตรูพืช แนะนำให้ทานอาหารออร์แกนิค ซึงจะสามรถช่วยการปรับฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน และยังช่วยรีเซ็ตฮอร์โมน เอสโตรเจน เลปติน อินซูลิน และไทรอยด์ด้วย

แปลโดย คุณวิลาสินี บุดดาขอขอบคุณข้อมูลจาก Magazine Prevention October/November 2015