Seeing red harm your body

MR. MOONLIGHT / 7-Oct-17

อารมณ์ร้าย ทำลายสุขภาพ

นายแพทย์ เรย์ฟอร์ด วิลเลี่ยมส์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านประสาทวิทยาและจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ดุ๊ก และผู้เขียนร่วมในหนังสือ “ฆ่าความโกรธ” ได้อธิบายผลของความโกรธเอาไว้ว่า “ในเวลาที่ความโกรธเกรี้ยวพุ่งทะลุปรอท ฮอร์โมนอะดรีนาลีนและคอร์ติซอลนั้นจะหลั่งไปทั่วร่างกาย เป็นเหตุให้ความดันโลหิตพุ่งสูงทะลุเป้า, หัวใจเต้นรัว และทำให้ปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้หัวใจของคุณต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อที่จะควมคุมอาการทุกอย่างให้กลับมาเป็นปกติ ดังนั้น หากคุณอยู่ในกลุ่มที่อารมณ์ปรี๊ดทะลุปรอทได้ง่ายๆ แล้วล่ะก็ แน่นอนว่าหัวใจของคุณจะย่ำแย่ลงในระยะยาว เนื่องจากต้องแบกภาระในการควบคุมความดันโลหิต อีกทั้งหลอดเลือดแดงยังเสื่อมสภาพเร็วขึ้นและเกิดความเสี่ยงต่อการอุดตันในหลอดเลือดสูงขึ้น”

เมื่อกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเกิดความโกรธขึ้นมา ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันของพวกเขาจะยิ่งไต่ระดับจนสูงขึ้นอย่างน่ากลัวภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง มีผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์โรคหัวใจภาคพื้นยุโรป ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2015 ได้สำรวจกลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดกว่า 313 รายที่มีอุปนิสัยโมโหง่าย พบว่าในเวลา 2 ชั่วโมงนับจากจุดระเบิดอารมณ์นั้น ผู้ที่มีอารมณ์โกรธจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันสูงกว่าผู้ป่วยที่มีพื้นอารมณ์ปรกติถึง 8.5 เท่า

การศึกษาแบบรวบยอดผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์โรคหัวใจภาคพื้นยุโรปฉบับปี 2014นั้น ได้กล่าวถึงงานวิจัย 9 ชิ้น ซึ่งรวบรวมกลุ่มตัวอย่างกว่า 6,400 ราย พบว่าภายใน 2 ชั่วโมงหลังจากที่คุณระเบิดอารมณ์โกรธออกไปนั้น โอกาสในการเกิดปัญหาของเส้นเลือดในสมองและการเกิดหัวใจเต้นผิดปกติจะสูงขึ้นกว่าปกติมาก

อีกทั้งความรุนแรงของอารมณ์โกรธนั้นมีความสัมพันธ์กับลักษณะนิสัยในการใช้ชีวิตด้วย เช่นการสูบบุหรี่ ความผิดปกติในการนอนหลับ อ้างอิงจากงานวิจัยมากมาย เช่นงานวิจัยปี 2005 ซึ่งมีผู้เข้าร่วมการวิจัยกว่า 4,700 คน ได้ถูกตีพิมพ์ในวารสารการวิจัยกลุ่มโรคทางกายที่ส่งผลมาจากสภาพจิตใจ

หัวใจเต้นรัว และทำให้ปริมาณน้ำตาลในกระแสเลือดพุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้หัวใจของคุณต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อที่จะควมคุมอาการทุกอย่างให้กลับมาเป็นปกติ ดังนั้น หากคุณอยู่ในกลุ่มที่อารมณ์ปรี๊ดทะลุปรอทได้ง่ายๆ แล้วล่ะก็ แน่นอนว่าหัวใจของคุณจะย่ำแย่ลงในระยะยาว เนื่องจากต้องแบกภาระในการควบคุมความดันโลหิต อีกทั้งหลอดเลือดแดงยังเสื่อมสภาพเร็วขึ้นและเกิดความเสี่ยงต่อการอุดตันในหลอดเลือดสูงขึ้น"

เมื่อกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจเกิดความโกรธขึ้นมา ความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันของพวกเขาจะยิ่งไต่ระดับจนสูงขึ้นอย่างน่ากลัวภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมง มีผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์โรคหัวใจภาคพื้นยุโรป ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2015 ได้สำรวจกลุ่มผู้ป่วยโรคหัวใจและหลอดเลือดกว่า 313 รายที่มีอุปนิสัยโมโหง่าย พบว่าในเวลา 2 ชั่วโมงนับจากจุดระเบิดอารมณ์นั้น ผู้ที่มีอารมณ์โกรธจะมีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลันสูงกว่าผู้ป่วยที่มีพื้นอารมณ์ปรกติถึง 8.5 เท่า

การศึกษาแบบรวบยอดผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารสมาคมแพทย์โรคหัวใจภาคพื้นยุโรปฉบับปี 2014นั้น ได้กล่าวถึงงานวิจัย 9 ชิ้น ซึ่งรวบรวมกลุ่มตัวอย่างกว่า 6




Resistance training, Foundation of youth

MR. MOONLIGHT / 7-Oct-17

การออกกำลังกายแบบออกแรงต้านคือน้ำพุแห่งความอ่อนเยาว์ในตำนานจริงหรือ?

เป็นที่รับรู้โดยทั่วกันว่ากระบวนการแก่ชราของคนเรานั้น เริ่มจากการที่เนื้อเยื่อและโครงสร้างต่างๆ ของร่างกายเสื่อมสลายลงวันละเล็กวันละน้อย และเริ่มส่งผลต่อการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ดังเช่นงานวิจัยที่ตีพิมพ์ลงในวารสารงานวิจัยเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของร่างกายและปัจจัยแวดล้อม ที่มีใจความว่า ภาวะการสูญเสียมวลกล้ามเนื้อโครงสร้างร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อกระบวนการแก่ชราของร่างกาย โดยผู้ทำวิจัยได้ออกแบบการวัดผลของการออกกำลังกายแบบออกแรงต้านที่มีต่อระดับฮอร์โมนและคุณภาพของโมเลกุลต่างๆ ในกลุ่มคนอายุน้อย และกลุ่มคนสูงอายุ โดยจะมีการเก็บเลือดและตัวอย่างต่างๆ ก่อนเริ่มทำวิจัยไว้เป็นตัวเปรียบเทียบ

โปรแกรมการออกกำลังกายของกลุ่มตัวอย่างนั้น จะประกอบด้วยการออกกำลังกายทั้งหมด 10 ครั้งซ้ำกัน 3 ชุด โดยเล่นประมาณ 80% ของการออกแรงสูงสุดของกล้ามเนื้ออย่างถูกต้อง 1 ครั้ง (80% ของ 1 RM) โดยเล่นตามท่าต่างๆ ดังนี้ สมิทสควอช, เลค เพรส และเลค เอ็กซ์เทนชั่น โดยกลุ่มตัวอย่างจะถูกเก็บตัวอย่างเลือดและกล้ามเนื้อ ณ เวลา 5 นาที และ 24 ชั่วโมงหลังออกกำลังกาย พบว่าในกลุ่มตัวอย่างเพศชายที่มีอายุน้อย มีปริมาณไอจีเอฟ วัน สูงขึ้นมากกว่ากลุ่มคนสูงอายุอย่างชัดเจนในทุกช่วงเวลา (ไอจีเอฟ วัน คือฮอร์โมนที่เกี่ยวพันกับการสร้างกล้ามเนื้อของร่างกาย) ในขณะเดียวกัน การเก็บตัวอย่างจากกลุ่มคนสูงอายุนั้นพบว่ามีปริมาณของยีนส์ ที่ส่งผลต่อการเสื่อมของกล้ามเนื้อมากกว่ากลุ่มคนอายุน้อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติของกลุ่มคนสูงอายุ แต่อย่างไรก็ตาม หลังการออกำลังกาย 24 ชั่วโมง พบว่าปริมาณของไอจีเอฟ วันในกลุ่มคนสูงอายุนั้นเพิ่มสูงขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ กลุ่มผู้ทำวิจัยมีความหวังว่า การศึกษาค้นคว้าวิจัยเพิ่มเติมจะช่วยสร้างความเข้าใจในการออกกำลังกายแบบมีแรงต้าน และอาจนำไปสู่การพัฒนารูปแบบการออกกำลังกาย ให้สามารถเพิ่มศักยภาพให้แก่ผู้เทรน และทำให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสุภาพมีความเข้าใจในสรีระวิทยาของกล้ามเนื้อระหว่างการออกกำลังกายของกลุ่มผู้สูงอายุมากขึ้น

เจด ทีต้า ผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมชาติบำบัด, ผู้ได้ประกาศนียบัตรจากสมาคมความแข็งแกร่งของร่างกายและปัจจัยแวดล้อม และผู้บริหารร่วมของเมตาบอลิค เอ็ฟเฟค แห่งเมือง วินสตันท์ – ซาเล็ม รัฐนอร์ทแคโรไลน่า ได้ให้คำแนะนำว่า แนวคิดเกี่ยวกับการออกกำลังกายนี้ได้มีการนำมาประยุกต์ใช้ในกลุ่มคนออกกำลังกายแล้ว “ ผลการศึกษาที่แสดงว่าระดับโกรธฮอร์โมนที่ลดลงในกลุ่มคนสูงอายุอาจจะไม่เกี่ยวข้องกับการแก่ชราอย่างที่พวกเราเคยคิด น้ำพุแห่งความอ่อนเยาว์ตามตำนานอาจซ่อนตัวอยู่ใต้หลักการการออกกำลังกายแบบเวท เทรนนิ่ง ซึ่งหากสามารถเล่นเวท เทรนนิ่งได้อย่างถูกต้องแล้ว ก็จะได้ออกกำลังกายแบบใช้อ็อกซิเจนไปในตัวอีกด้วย ดังนั้น การเริ่มเล่นเวท เทรนนิ่งเพื่อเพิ่มการสร้างกล้ามเนื้อและฮอร์โมนตั้งแต่วันนี้ คือการค้นพบน้ำพุแห่งความเยาว์วัยที่แท้จริงอย่างแน่นอน

ขอบคุณข้อมูล นิตยสาร Fitness Journalขอบคุณผู้แปล คุณอารีรักษ์ ฤดีสถิต




Mid life fitness may fight cancer

MR. MOONLIGHT / 7-Oct-17

ไม่น่าเชื่อว่า การออกกำลังกายนั้นสามารช่วยจัดมะเร็งร้ายในกลุ่มท่านชายวัยกลางคนได้ จากการวิจัยร่วมกันของมหาวิทยาลัยเวอร์มองท์, สถาบันคูเปอร์, มหาวิทยาลัยเท็กซัส, มหาวิทยาลัยดุ๊ก และสถาบันเมมโมเรียล สโลน เคตเทอริ่ง แคนเซอร์ ได้ศึกษาในกลุ่มเพศชายกว่า 14,000 คน เพื่อประเมินระดับความทนของหัวใจและระบบการหายใจขณะออกกำลังกาย (CRF) ในช่วงกลุ่มวัยกลางคน เพื่อป้องกันการเกิดขึ้นของมะเร็งในช่วงอายุที่มากขึ้น

เริ่มต้นในปี คศ. 1971 ผู้ทำวิจัยได้ทดสอบการวิ่งบนสายพานในกลุ่มตัวอย่างเพศชาย อายุระหว่าง 40 – 57 ปี โดยเก็บข้อมูลยาวนานกว่า 10 ปี หลังจากนั้น กลุ่มผู้ทำวิจัยได้รวบรวม และตรวจสอบข้อมูลการรักษาพยาบาลของผู้เข้าร่วมการวิจัยที่มีอายุถึง 65ปี ที่เกี่ยวข้องกับโรคมะเร็งที่ปอด, ลำไส้ และต่อมลูกหมาก

ซึ่งกลุ่มตัวอย่างที่คะแนน CRF สูงกว่า พบว่ามีอัตราการเกิดโรคมะเร็งที่ปอดและลำไส้ต่ำกว่ากลุ่มที่ไม่ค่อยออกกำลังกายถึง 50% (ทว่ากลุ่มผู้ทำวิจัยกลับไม่พบความเกี่ยวโยงระหว่างการออกกำลังกายกับโรคมะเร็งในต่อมลูกหมากแต่อย่างใด)

ในขณะเดียวกัน กลุ่มตัวอย่างที่ต้องรับการบำบัดรักษามะเร็ง แต่มีการออกกำลังกายเป็นประจำอยู่แล้ว มีอัตราการรอดชีวิตสูงกว่ากลุ่มที่ไม่เคยออกกำลังกายเลย ดังนั้นการออกกำลังกายอาจส่งผลทั้งการกำจัดและป้องกันโรคได้อีกด้วย

แพทย์หญิง ซูซาน ลาโคสกี้จากมหาวิทยาลัยเวอร์มอนท์ หัวหน้าคณะผู้ทำวิจัยได้ให้คำแนะนำไว้ว่า มีการศึกษาที่ได้ตีพิมพ์ลงในวารสารการแพทย์ออนไลน์ด้านมะเร็งชื่อจามา ในเดือนมีนาคม ปี 2015 ที่ได้กล่าวว่าการที่กลุ่มทดลองบางคนเริ่มออกกำลังกายภายหลังได้รับคำวินิจฉัยว่าเป็นโรคมะเร็งนั้น ไม่ได้เป็นการรับประกันว่าจะให้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นนี้ในทุกๆ เคส แต่ก็มีการศึกษาวิจัยมากมายหลายชิ้นที่บ่งชี้ว่า การมีสุขภาพดีและแข็งแรงเป็นทุนเดิม จะทำให้ผลการรักษามะเร็งที่ดีกว่าอย่างแน่นอน

ดังนั้น คงจะสามารถสรุปได้ว่า การออกกำลังกายที่เพิ่มอัตราการเต้นของหัวใจ (รวมถึงการออกกำลังกายแบบเต็มพิกัด และการออกกำลังกายแบบเพิ่มความแข็งแกร่งเต็มพิกัด) ย่อมช่วยเพิ่มประสิทธิภาพความทนของหัวใจและระบบการหายใจต่อการออกกำลังกาย (CRF)ได้ ซึ่งแน่นอนว่าก็ดีกว่าการไม่ออกกำลังกายเอาเสียเลย

ขอบคุณข้อมูล นิตยสาร Experience Lifeขอบคุณผู้แปล คุณอารีรักษ์ ฤดีสถิต




Metabolic syndrome may contribute to cognitive

MR. MOONLIGHT / 7-Oct-17

ภาวะอ้วนลงพุงกระตุ้นให้เกิดการเสื่อมลงของสมอง

เหล่าผู้ที่มีปัญหาภาวะอ้วนลงพุงทั้งหลายอาจจะต้องร้อนอกร้อนใจเพิ่มขึ้นจากปัญหาด้านสมองกันเสียแล้ว เนื่องจากกลุ่มผู้สูงอายุที่มีปัญหาอ้วนลงพุง, ความดันโลหิตสูง, ชั้นไขมันบริเวณหน้าท้องสะสมหนาขึ้น, ระดับไขมันดีลดลง และอื่นๆ อีกมากมาย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นตัวการในการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาในการคิดและจดจำ มีงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารการแพทย์ด้านประสาทวิทยา (2011; 76 [6], 518-2) ได้รวบรวมกลุ่มตัวอย่างกว่า 7,087 คน ทั้งเพศชายและหญิง อายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไปจากเมืองต่างๆ ในฝรั่งเศส 3 เมือง

โดยกลุ่มตัวอย่างจะถูกทดสอบด้านการคิดวิเคราห์, ทักษะในการพูด และความสามารถในการจดจำผ่านการมองเห็นด้วยแบบทดสอบที่ได้รับการยอมรับเป็นสากล ซึ่งมีการทดสอบทั้งหมด 3 ครั้ง ครั้งแรกเริ่ม, ปี 2 และ ปี 4 โดยผลการทดสอบพบว่าในกลุ่มตัวอย่างที่มีภาวะอ้วนลงพุง มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความทรงจำและความคิดถดถอยมากกว่ากลุ่มที่ไม่อ้วน

แต่อย่างไรก็ตาม มีงานวิจัยอีกชิ้นที่ระบุว่า การออกกำลังกายแบบเพิ่มความแข็งแกร่งอาทิตย์ละ 1 ครั้ง อาจช่วยให้คุณรอดพ้นวิกฤตินี้ไปได้ งานวิจัยชิ้นนี้ตีพิมพ์ลงในวารสารการแพทย์ ความประสบความสำเร็จของอายุรกรรมศาสตร์ ( 2010; 170 [22], 2036 – 38) ซึ่งการวิจัยได้ติดตามศึกษาในกลุ่มเพศหญิงกว่า 155 คน อายุ 65 – 75 ปี ถูกจำแนกออกเป็น 3 กลุ่ม คือกลุ่มที่ออกกำลังกายแบบออกแรงต้าน 1 ครั้งต่อสัปดาห์, 2 ครั้งต่อสัปดาห์ และกลุ่มที่ออกกำลังกายแบบกระชับสัดส่วน ใช้เวลาในการเก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างยาวนานกว่า 1 ปี พบว่ากลุ่มที่ออกกำลังกายแบบออกแรงต้าน 1 ครั้งต่อสัปดาห์นั้นมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นมากที่สุด รวมถึงความี่ในการไปพบแพทย์ลดลง ปริมาณยาที่ต้องรับประทานจากโรคประจำตัวลดลง และค่าใช้จ่ายในการพบแพทย์ที่โรงพยาบาลลดลง ทางผู้วิจัยยังค้นพบอีกว่าในกลุ่มที่ออกกำลังกายแบบออกแรงต้าน หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์มีรายงานการพลัดตกหกล้มลดลง ซึ่งเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นถึงความบกพร่องของการควบคุมความคิดนั่นเอง ดังนั้นจึงอาจสรุปได้ว่า คงไม่เป็นการเสียเวลาหากจะลองออกกำลังกายแบบออกแรงต้านสักหนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อเพิ่มคุณภาพให้ตัวคุณเองในวันที่วัยล่วงเลย

ขอบคุณข้อมูล นิตยสาร Fitness Journalขอบคุณผู้แปล คุณอารีรักษ์ ฤดีสถิต




Food additive affect gut bacteria

MR. MOONLIGHT / 7-Oct-17

สารเจือปนต่างๆ ในอาหารส่งผลต่อแบคทีเรียในลำไส้

งานวิจัยชิ้นใหม่จากมหาวิทยาลัยจอร์เจียพบว่าอิมัลซิฟเออร์ (วัตถุลดแรงตึงผิวในอาหาร) ที่มักจะผสมอยู่ในอาหารแปรรูปทั้งหลายนั้นสามารถกระตุ้นการเกิดลำไส้อักเสบ, น้ำหนักเกินเกณฑ์ และโรคอ้วนลงพุงได้ในหนู งานวิจัยชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์ลงในวารสารเนเจอร์ (มีนาคม ปี 2015) กล่าวว่า สารเสริมในอาหารที่ถูกใช้กันอย่างแพร่หลายนี้ สามารถส่งผลกระทบต่อสุภาพของผู้บริโภค รวมถึงจุลชีพในร่างกายของมนุษย์อีกด้วย ซึ่งเป็นชนวนนำไปสู่การเกิดโรคเรื้อรังได้ในที่สุด

ดร. บีนอร์ต แชสซาริ่งค์ ผู้วิจัยจากสถาบันลุชีววิทยาทางการแพทย์แห่งรัฐจอร์เจียได้กล่าวว่า “บรรดาสารเสริมในอาหารแปรรูปเหล่านี้จะทำปฏิกิริยากับสิ่งมีชีวิตจุลชีพในร่างกาย ดังนั้นเราควรพิจารณาถึงสารต่างๆที่ใส่ลงไปในอาหาร ที่อาจจะส่งผลให้แบคทีเรียตัวดีลดลง, แบคทีเรียที่ไม่ดีเจริญเติบโตขึ้นจนเสียสมดุลย์ และกลายเป็นอาการอักเสบในลำไส้ในที่สุด” มากกว่า 12 สัปดาห์ ที่ทีมผู้ทำวิจัยได้ป้อนอิมัลซิฟเออร์ 2 ชนิดแก่หนูทดลอง ได้แก่ โพลีซอร์เบท 80 และคาร์บอกซี่ เมททิล เซลลูโลส ซึ่งเป็นอิมัลซิไฟเออร์ที่พบในอาหารแปรรูปได้บ่อย ในปริมาณที่เท่ากันกับที่ใส่ผสมในอาหารแปรรูปต่างๆ พบว่าอิมัลซิไฟเออร์ได้เข้าไปปรับเปลี่ยนสมดุลย์องจุลชีพในลำไส้ จนทำให้เกิดการอักเสบในที่สุด

ซึ่งโอกาสที่แบคทีเรียไม่ดีในลำไส้จะก่อให้เกิดภาวะลำไส้อักเสบเรื้อรังนั้น บางส่วนอาจเกี่ยวกับปัญหาของยีนส์ที่ส่งต่อมาทางพันธุกรรมก็ได้ ซึ่งส่งผลให้การทำงานของภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติอีกด้วย

ทว่าในกลุ่มหนูที่มีระบบภูมิคุ้มกันปกติ อิมัลซิไฟเออร์มีผลเพียงแค่กระตุ้นการอักเสบเล็กน้อยในลำไส้ และภาวะอ้วนลงพุงเท่านั้น แต่การบริโภคในปริมาณมาก ความอ้วน ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และภาวะที่ร่างกายดื้อต่ออิซูลินนั้น จะทำให้อาการอักเสบของลำไส้นั้นแย่ลง

ในขณะนี้กลุ่มผู้ทำวิจัยยังคงมุ่งมั่นในการทดลองอิมัลซิฟเออร์ชนิดอื่นๆ ในหนูทดลองเพิ่มเติมต่อไป เพื่อค้นหาผลกระทบของสารเสริมในอาหารเหล่านี้ที่มีต่อร่างกายของมนุษย์เรา

แบคทีเรียที่ไม่ดีเจริญเติบโตขึ้นจนเสียสมดุลย์ และกลายเป็นอาการอักเสบในลำไส้ในที่สุด" มากกว่า 12 สัปดาห์ ที่ทีมผู้ทำวิจัยได้ป้อนอิมัลซิฟเออร์ 2 ชนิดแก่หนูทดลอง ได้แก่ โพลีซอร์เบท 80 และคาร์บอกซี่ เมททิล เซลลูโลส ซึ่งเป็นอิมัลซิไฟเออร์ที่พบในอาหารแปรรูปได้บ่อย ในปริมาณที่เท่ากันกับที่ใส่ผสมในอาหารแปรรูปต่างๆ พบว่าอิมัลซิไฟเออร์ได้เข้าไปปรับเปลี่ยนสมดุลย์องจุลชีพในลำไส้ จนทำให้เกิดการอักเสบในที่สุด

ซึ่งโอกาสที่แบคทีเรียไม่ดีในลำไส้จะก่อให้เกิดภาวะลำไส้อักเสบเรื้อรังนั้น บางส่วนอาจเกี่ยวกับปัญหาของยีนส์ที่ส่งต่อมาทางพันธุกรรมก็ได้ ซึ่งส่งผลให้การทำงานของภูมิคุ้มกันของร่างกายผิดปกติอีกด้วย

ทว่าในกลุ่มหนูที่มีระบบภูมิคุ้มกันปกติ อิมัลซิไฟเออร์มีผลเพียงแค่กระตุ้นการอักเสบเล็กน้อยในลำไส้ และภาวะอ้วนลงพุงเท่านั้น แต่การบริโภคในปริมาณมาก ความอ้วน ภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และภาวะที่ร่างกายดื้อต่ออิซูลินนั้น จะทำให้อาการอักเสบของลำไส้นั้นแย่ลง

ในขณะนี้กลุ่มผู้ทำวิจัยยังคงมุ่งมั่นในการทดลองอิมัลซิฟเออร์ชนิดอื่นๆ ในหนูทดลองเพิ่มเติมต่อไป เพื่อค้นหาผลกระทบของสารเสริมในอาหารเหล่านี้ที่มีต่อร่างกายของมนุษย์เรา

"




Exercise promote protein synthesis during starvation

MR. MOONLIGHT / 6-Oct-17

การออกกำลังกายช่วยกระตุ้นการสร้างโปรตีนในระหว่างการอดอาหาร

บางครั้ง ในกลุ่มนักออกกำลังกายมือฉมังส่วนใหญ่อาจใช้เทคนิคการอดอาหารในระยะสั้นๆ เพื่อลดปริมาณไขมันในร่างกายอย่างรวดเร็ว

แต่น่าเสียดายที่การอดอาหารจะส่งผลกระทบด้านลบต่อระบบเคมีชีวภาพในร่างกาย ซึ่งจะทำให้การเพิ่มของกล้ามเนื้อน้อยลดลงเรื่อยๆ เนื่องจากการอดอาหารจะไปลดกระบวนการ mTOR ของร่างกาย (กระบวนการนำสารอาหารสู่เซลล์ ใช้วัดภาวะขาดสารอาหารของร่างกายได้) ในระหว่างการอดอาหาร ร่างกายจะมีการสลายกล้ามเนื้อเพื่อนำมาใช้เป็นพลังงานแก่เซลล์

มีการศึกษาวิจัยจากมหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์จุนเทนโดะ ประเทศญี่ปุ่นเกี่ยวกับการอดอาหารในหนูทดลอง การออกกำลังกายจะช่วยกระตุ้นการสร้างโปรตีนของกระบวนการ mTOR และช่วยชะลอการสลายกล้ามเนื้อระหว่างการอดอาหารได้

ดังนั้นท่านที่กำลังสนใจการอดอาหารระยะสั้นเพื่อการลดน้ำหนัก ควรจะออกกำลังกายควบคู่ไปด้วย เพื่อลดปัญหากล้ามเนื้อสลายตัวขณะอดอาหารนั่นเอง

ขอบคุณผู้แปล คุณอารีรักษ์ ฤดีสถิตขอบคุณข้อมูล นิตยสาร Fitness RX




Core strength unrelated to performance

MR. MOONLIGHT / 3-Oct-17

ผู้สอนออกกำลังกายส่วนใหญ่มักจะเน้นการฝึกกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวให้กับผู้ออกกำลังกายเพื่อช่วยเพิ่มสมรรถนะของร่างกายและลดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของร่างกายในอนาคต แต่อย่างไรก็ตาม มีผลการศึกษาชิ้นหนึ่งที่ได้ตีพิมพ์ลงในวารสารงานวิจัยเกี่ยวกับความยืดหยุ่น และสุขภาวะ เมื่อปี 2015 ค้นพบว่าความแข็งแกร่งของกล้ามเนื้อแกนกลาง และการใช้งานกล้ามเนื้อในชีวิตประจำวัน ไม่มีความสัมพันธ์กับสมรรถนะของร่างกาย

ในการศึกษานี้ ได้รวบรวมกลุ่มตัวอย่างที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง 28 คน เข้ารับการทดสอบร่างกายในหลากหลายแบบ แบ่งออกเป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ ได้แก่ การรักษาความมั่นคงของกล้ามเนื้อแกนกลาง (ความยืดหยุ่น,การยืดตัว, การบิดซ้ายและขวา), การคัดกรองความสามารถในการใช้งานกล้ามเนื้อตามลักษณะกิจกรรม (ท่าสควอช, ท่าพุช-อัพ, ท่าเฮอร์เดิลเสต็ปทั้งเท้าซ้ายและขวา, ท่าอินไลน์ ลังค์, ท่าฝึกกล้ามเนื้อหัวไหล่, ท่ายกขาตรง, ท่าโรตารี่ สเตบิลิตี้) และการทดสอบด้านสมรรถนะ (การส่งบอลไปด้านหลัง, ท่าวิ่งซิกแซก,ท่าสควอชขาเดียว)

ในการศึกษานี้ ผู้เขียนค้นพบว่าไม่มีความเกี่ยวพันระหว่างความสมดุลย์ของกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว กับการใช้งานกล้ามเนื้อในชีวิตประจำวันอย่างมีนัยสำคัญ สื่อได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแกนกลาง หรือ ประสิทธิภาพของการใช้กล้ามเนื้อในกิจวัตรประจำวันก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักในการชี้วัดสมรรถภาพของร่างกาย “แม้ว่าคำแนะนำจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญด้านการออกกำลังกายจะเน้นย้ำว่า การฝึกกล้ามเนื้อโดยเฉพาะส่วนแกนกลางนั้นช่วยเพิ่มสมรรถนะของร่างกายได้ ทว่าคำแนะนำจากทีมผู้วิจัยกลับต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง นั่นคือการฝึกฝนกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ และกล้ามเนื้อแกนกลางนั้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องรวมอยู่ในโปรแกรมฝึกฝน โดยเฉพาะโปรแกรมการฝึกฝนที่ลดความเสี่ยงต่อการการบาดเจ็บของร่างกายในอนาต แต่ก็ไม่ควรจะใช้เป็นโปรแกรมั้นพื้นฐานในการเริ่มการออกกำลังกายอย่างเด็ดขาด

ขอขอบคุณผู้แปล คุณอารีรักษ์ ฤดีสถิตขอขอบคุณข้อมูล นิตยสาร Fitness journal




Reclining for healthy back

KAJARP / 2-Oct-17

Your first – grade teacher told you to sit up straight in your chair to prevent back pain and promote good posture. That advice may have promoted back pain in generations of school kids. Scottish researchers found that a reclining posture (135?) caused less spinal pressure than sitting upright (90?) or sitting hunched forward. The researchers concluded that leaning back while sitting and opening the angle between the thighs and back produced less spinal pressure than sitting up straight. They used a FONNAR Positional MRI scanner to determine the best seating position to prevent back pain. This device allowed the scientists to get an accurate view of the stresses on the spinal discs in a variety of postures. Standard MRIs examine patients lying on their backs. This study may help engineers develop seats and chairs that reduce spinal pressure when sitting in trucks, cars and office chairs. Sitting in a reclining position is easier on the back than sitting up straight. (Press release FONAR Corporation, Nov. 28, 2006)

เอนหลังสักนิด เพื่อสุขภาพหลังของคุณ

ในสมัยที่คุณยังเด็ก อาจจะเคยพบว่าคุณครูบังคับให้คุณนั่งหลังตรงในห้องเรียน เพื่อป้องกันอาการปวดหลัง และทำให้คุณมีบุคคลิกภาพที่ดีขึ้น ทว่าคำแนะนำนี้อาจก่อให้เกิดปัญหาปวดหลังในเด็กนักเรียนรุ่นถัดๆ ไปก็เป็นได้ นักวิจัยชาวสก๊อตได้ค้นพบว่า การนั่งเอนหลังเล็กน้อย (ประมาณ 135 องศา) จะมีแรงกดลงสู่กระดูกสันหลังน้อยกว่าการนั่งหลังตรง (90 องศา) หรือนั่งหลังค่อม มีการสรุปผลการวิจัยว่าการเอนหลังเล็กน้อยเพื่อให้เกิดมุมองศาที่กว้างขึ้นระหว่างต้นขาและหลังนั้นจะเกิดแรงกดกับหมอนรองกระดูกสันหลังน้อยกว่าท่านั่งหลังตรง โดยผู้ทำการทดลองได้ใช้เครื่องจับภาพโดยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าแบบพิเศษฟอนน่า เพื่อค้นหาท่านั่งที่ดีที่สุด เครื่องมือนี้ช่วยให้นักวิทยาศาสตร์เห็นภาพแรงกดที่หมอนรองกระดูกในท่านั่งแต่ละท่าอย่างละเอียดชัดเจน ซึ่งเครื่องตรวจจับภาพคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าทั่วไปจะทำได้แต่เพียงจับภาพในท่านอนราบเท่านั้น งานวิจัยชิ้นนี้สามารถช่วยชี้นำเหล่าวิศวกรผู้ออกแบบเก้าอี้ทั้งหลายให้เกิดแนวทางการออกแบบเก้าอี้ที่ลดแรงกดหมอนรองกระดูก ไม่ว่าจะเป็นที่นั่งบนรถบรรทุก, รถยนต์ หรือแม้แต่เก้าอี้ในสำนักงาน อีกทั้งการนั่งเอนหลังเช่นนี้เป็นท่านั่งที่สุขสบายและง่ายดายว่าการนั่งหลังตรงมากมายนัก




Vitamin D reduces risk of Multiple Sclerosis

KAJARP / 27-Sep-17

วิตามินดี ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง

วิตามินดี ลดความเสี่ยงของการเกิดโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็ง โรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งหรือเรียกสั้นๆ ว่าโรคเอ็มเอส นั้นเป็นภาวะความบกพร่องของภูมิคุ้มกันที่เข้าจู่โจมการทำงานของระบบประสาทส่วนกลาง (ภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายตนเอง) มักจะพบในกลุ่มคนอายุน้อย และทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง เคลื่อนไหวร่างกายได้ไม่สะดวก มีปัญหาในการพูด ปวดตามร่างกาย และมักเกิดภาวะซึมเศร้าตามมา ในสหรัฐอเมริกาพบผู้ป่วยโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งมากถึง 350,000 ราย และมากกว่า 2,000,000 รายทั่วโลก โดยมีอุบัติการณ์การเกิดโรคชุกอยู่ในบริเวณประเทศที่ใกล้ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาดพบว่าปริมาณวิตามินดีในร่างกายมีผลต่อการเกิดโรคเอ็มเอสนี้ และเป็นที่ทราบกันว่าแสงอาทิตย์ก็มีหน้าที่สำคัญที่สุดในการสร้างวิตามินดีในร่างกาย ดังนั้น ประชากรที่อาศัยอยู่ในประเทศแถบขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้นั้น มักจะได้รับแสงอาทิตย์น้อยมากในช่วงฤดูหนาว จึงสันนิษฐานได้ว่า ระดับวิตามินดีและการได้รับแสงอาทิตย์นั้นอาจมีผลต่อการเกิดโรคปลอกประสาทเสื่อมแข็งก็เป็นได้

Vitamin D reduces risk of Multiple Sclerosis

Multiple sclerosis (MS) mainly strikes young adults and attacks the central nervous system. It’s an autoimmune disease (ie., the body attacks itself) that causes muscle weakness, fatigue, disrupted movement and speech patterns, depression and pain. More than 350,000 Americans and 2 million people worldwide have MS. The incidence of MS is greatest at the highest and lowest latitudes (people living in countries closest to the north and south poles). Harvard scientists found that vitamin D levels may influence the risk of MS. A reaction involving sun exposure produces most of body vitamin D. People living in extreme latitudes get very little exposure to sunlight during the winter. Vitamin D levels and – perhaps exposure to the sun – influence the risk of MS (Journal American Medical Association, 296: 2832 – 2838, 2006)

จากนิตยสาร FITNESS Rx. April 2007




6 วิธีบำบัดการรับรสของคุณ

MR. MOONLIGHT / 31-Aug-17

กลวิธีที่ 1: ทำความสะอาดต่อมรับรสของคุณเสียก่อน

ต่อมรับรสของคุณก็อาจจะต้องใช้เวลาในการปรับการรับรสสักระยะหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะลองลดปริมาณอาหารแปรรูปลงทีละน้อยหรือจะหักดิบหยุดทุกอย่างในคราวเดียว

โจ โรบินสัน ผู้เขียนหนังสือการรับประทานอย่างถูกวิธี: ไขเคล็ดลับสู่สุขภาพที่ดีเยี่ยม ได้ให้ความเห็นในการปรับการรับรสไว้ว่า “ที่สำคัญคือคุณจะเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของต่อมรับรสคุณในเวลาไม่กี่อาทิตย์หลังจากคุณงดรับประทานอาหารไร้ประโยชน์อย่างแน่นอน และถัดจากนั้น คุณจะเริ่มรับรสธรรมชาติต่างๆได้ ไม่ว่าจะเป็นรสเค็มจากโซเดียมในผัก ซึ่งคุณเองไม่เคยสัมผัสมันได้มาก่อนด้วยซ้ำ”

อีกหนึ่งวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยปฏิวัติการรับรสของคุณ คือเริ่มรับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์ก่อนอย่างอื่น เช่นเริ่มทานผักในจานก่อนจะเริ่มทานอาหารส่วนอื่น ซึ่งจะทำให้คุณเรียนรู้ที่จะรับรู้รสชาติที่อ่อนละมุนและรสสัมผัสที่เบาบางนี้ได้เป็นอย่างดี

กลวิธีที่ 2: ช้าลงนิด

คนส่วนใหญ่มักจะเลือกรับประทานอาหารแปรรูปเพราะมันไม่ต้องใช้เวลามากมายในการจัดเตรียม คุณแกล แวนซ์ ซีวิลเล่ ผู้เชี่ยวชาญด้านเนื้อสัมผัสของอาหารได้อ้างอิงงานวิจัยของเธอในปี 1960 และปี1970 ซึ่งงานวิจัยได้แสดงว่าเนื้อเสต๊กนั้นต้องการการบดเคี้ยวเฉลี่ย 25 ครั้งก่อนที่เราจะกลืน แต่คนส่วนใหญ่จะเคี้ยวเพียง 10-15 ครั้งเท่านั้น

ดังนั้นการจะสัมผัสถึงรสชาติของอาหารได้อย่างเต็มที คุณต้องเคี้ยวอย่างช้าๆ และตั้งใจ ซึ่งการเคี้ยวอย่างละเอียดจะช่วยลดภาระของระบบย่อยอาหาร และช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมสารอาหารได้ดีขึ้นอีกด้วย

กลวิธีที่ 3: ลองสิ่งใหม่ๆ

หากคุณต้องการจะให้ต่อมรับรสของคุณได้เรียนรู้การรับรสชาติใหม่ๆ นอกจากรสหวานและรสเค็ม คุณจำเป็นต้องลองผสมอาหารจากรสชาติอื่นที่แตกต่างอย่างชัดเจนไปในทุกมื้ออาหารของคุณ เช่น รสเปรี้ยว ( ผลไม้ตระกูลมะนาว, กะหล่ำปรีดอง ), รสขม ( ขมิ้น, ช็อกโกแลต) และรสกลมกล่อม, รสมัน, รสเนื้อ ซึ่งสามารถพบได้ในอาหารจำพวกเห็ด, มะเขือเทศ และเนื้อ

เชฟ รีเบคก้า แคทซ์ ได้ให้ความเห็นไว้ว่า “ อาหารแปรรูปทั้งหลายนั้นจะทำให้ต่อมรับรสของคุณชา การเลือกรับประทานอาหารโดยไม่ปรุงแต่งรสใดๆ ช่วยทำให้ต่อมรับรสของคุณไม่ต้องทำงานหนักจนเกินไป ” เชฟ รีเบคก้ายังให้คำช่วยจำในการเลือกรับประทานอาหารเอาไว้ นั่นคือ FASS ซึ่งย่อมาจาก F= Fats จงอย่าลืมที่จะเติมไขมันดีให้กับมื้ออาหารของคุณ, A = Acids กรดหรือรสเปรี้ยวนิดหน่อยต่อมื้อ จะทำให้ต่อมรับรสของคุณทำงานได้ดีขึ้น, S = Salt เกลือเล็กน้อยจะช่วยกระตุ้นการรับรสได้ ปิดท้ายด้วย S = Sweet การเติมรสหวานในมื้ออาหารช่วยให้การสัมผัสรสของคุณรู้สึกเต็มครบถ้วนได้

กลวิธีที่ 4: สร้างสายสัมพันธ์เชิงบวก

คุณยังจดจำการรวมตัวแสนฮาเฮกับเพื่อนบ้านใหม่หรือครั้งแรกที่คุณลองชิมดิปมะเขือม่วงสไตล์เลบานิสได้ไหม? สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าความทรงจำแสนสุขมักจะมีจุดเชื่อมโยงกับเรื่องอาหารแปลกใหม่ ซึ่งนำพาคุณไปสู่การเรียนรู้รสชาติใหม่ๆ ได้ง่ายขึ้น ( แม้รสชาติใหม่นั้นมันจะเป็นมะเขือม่วงก็เถอะ)

“ อันที่จริง มนุษย์ทุกคนถูกสอนให้ชอบอาหารต่างๆ ผ่านทางการสร้างสายสัมพันธ์ในสังคมเชิงบวก “ เทรย์วี่ แมนน์ จิตแพทย์ และผู้เขียนหนังสือ ความลับจากห้องทดลองอาหาร: วิทยาศาสตร์กับการลดน้ำหนัก, ตำนานว่าด้วยวินัยและความมุ่งมั่น และ ทำไมคุณถึงไม่ควรคุมอาหารอีกต่อไป ได้ให้ความเห็นไว้

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความทรงจำเกี่ยวถั่วลันเตาต้มสุกจนเละในอาหารกลางวันที่โรงเรียนได้ ไม่ได้หมายความว่าปุ่มรับรสในปากคุณจะฝังใจจนปฏิเสธถั่วลันเตาแกะเปลือกสดใหม่แสนน่าทานจากตลาดนัดชาวนาใกล้บ้านได้หรอกนะ

กลวิธีที่ 5: ใช้สมองนำทาง

แพทย์หญิงแมนน์ได้กล่าวไว้ว่า “ การตั้งตารออาหารรสเลิศของคุณนั้นคือสิ่งสำคัญที่ทำให้คุณพึงพอใจอย่างแท้จริง ” ดังนั้นจงยอมให้ตัวคุณเองได้มีโอกาสกระตุ้นประสาทสัมผัสรสชาติจากการรอคอยเมนูโปรดบ้าง โดยเฉพาะอาหารจานโปรดของคุณที่คุณอดใจรอแทบไม่ไหว นับเป็นการกระตุ้นการรับรสชาติที่ดีวิธีหนึ่ง

แต่หากกลายเป็นว่าคุณต้องรอคอย เพื่อพบกับอาหารที่คุณไม่ชอบล่ะ? ลองเปลี่ยนเป็นการกระตุ้นการทำงานของสมองส่วนหน้าเสียใหม่ ด้วยการบรรจุข้อมูลดีๆเกี่ยวกับอาหารชนิดนั้นลงไปในหัวของคุณ เช่นคุณประโยชน์อันมากมายของมัน, รูป, รส หรืออุณหภูมิของมัน วิธีนี้อาจทำให้คุณก้าวข้ามความไม่ชอบอาหารชนิดนั้นและลงมือรับประทานมันได้ในที่สุด

กลวิธีที่ 6: ลอง และลอง และลอง

มีงานวินัยชิ้นหนึ่งที่ชี้ว่า การทานอาหารชนิดในชนิดหนึ่งซ้ำๆ จะทำให้คุณชอบมันมากขึ้นได้ นี่อาจจะเป็นเหตุผลสนับสนุนให้คุณอย่าพึ่งล้มเลิกความพยายามที่จะเสริฟผักโขมในมื้อเย็นของเด็กๆ บ่อยครั้งเท่าที่จะทำได้ หรือแม้แต่ใช้วิธีนี้กับตัวคุณเองด้วยเช่นกัน

ทั้งนี้ แพทย์หญิง แมนน์ได้เสริมว่า หากคุณทานอาหารชนิดหนึ่งบ่อยๆ หรือ รับประทานมันในมื้ออาหารแสนสุขของคุณ ยิ่งมีโอกาสมากขึ้นที่คุณจะชอบรับประทานสิ่งนั้นได้ในที่สุด โดยเฉพาะอาหารที่มีรสขม คุณอาจจะต้องรับประทานมันซ้ำๆ มากกว่า 20 ครั้งกว่าที่คุณจะชอบมันได้

หรือคุณอาจจะลองหาวิธีปรุงให้หลากหลาย เพื่อให้รสชาติของสิ่งที่คุณไม่ชอบนั้นรสชาติดีขึ้น อย่างเช่น หากคุณเริ่มรู้สึกรับได้กับหัวผักกาดย่าง ก็ไม่เสียหายที่ครั้งถัดไปคุณจะลองเปลี่ยนเป็นใส่หัวผักกาดลงในจานสลัดดู นี่อาจทำให้คุณค้นพบวิธีใหม่ๆ ที่จะทำให้คุณรับประทานสิ่งที่ไม่ชอบได้มากขึ้นก็เป็นได้

กะหล่ำปรีดอง )

รสมัน




คู่มือเอาตัวรอดในช่วงเทศกาลแห่งการเฉลิมฉลอง

MR. MOONLIGHT / 28-Aug-17

ผู้เชี่ยวชาญด้านงานสังสรรค์หลากหลายท่านต่างพร้อมกันแนะนำเคล็ดลับเด็ด เพื่อหลีกปัญหาติดขัดทั้งหลายระหว่างนัดพบปะช่วงวันหยุดไว้อย่างน่าสนใจ

หากคุณนึกบทสนทนากับพรรคพวกไม่ออก

เราทุกคนต่างเคยมีช่วงเวลา “ เอาฉันออกไปจากตรงนี้ที ” ท่ามกลางวงสนทนาที่คุณไม่รู้จักใครสักคน หรือคุณเผลอไผลเจอคู่สนทนาที่คุณหาหัวข้อคุยตรงกันไม่ได้เอาเสียเลย วิธีแก้ไขปัญหาอย่างชาญฉลาดที่ประชาสัมพันธ์สาว เฮเธอร์ แม็ค กินเนส ผู้ซึ่งเข้าร่วมงานสังสรรค์ย่างน้อย 1 – 2 งานต่อสัปดาห์ในช่วงเทศกาลต่างๆ ได้แนะนำเอาไว้คือ “ จงตรวจสอบข่าวและเรื่องราวที่เป็นกระแสสังคมก่อนออกเดินทางไปงานเลี้ยง ” เธอเล่าทวนถึงประสบการณ์ที่เธอได้พูดถึงเรื่องหัวข้อข่าวด้านการเงินที่พึ่งได้อ่านมาก่อนเข้ามาในงานเลี้ยงกับคู่สนทนา เพียงไม่กี่อึดใจ หัวข้อเรื่องที่เธอเล่าก็กลายเป็นประเด็นที่ถูกพูดถึงไปทั่วทั้งงาน ผู้ร่วมงานเลี้ยงมากมายที่เข้ามาทำความรู้จักกันเธอเพียงเพื่อที่จะสอบถามถึงประเด็นร้อนที่เธอได้พูดไป “ ทั้งหมดที่ฉันได้ทำก็คือการแบ่งปันข้อมูล แต่ผู้ฟังต่างมองว่าฉันคือวีรบุรุษ “ เว็บไซต์แนะนำสำหรับติดตามข่าวสารน่าสนใจที่คุณอาจใช้มันในบทสนทนาครั้งถัดไปคือ TheSkimm.com และ The week.com

หากคุณแต่งตัวไม่เข้ากับงาน

บางทีการแต่งกายไปร่วมงานเลี้ยงอาจทำให้คุณต้องหัวหมุนได้ เพราะคุณไม่มั่นใจว่าชุดของคุณดูเหมาะกับงานหรือไม่ คุณสามารถกลบเกลื่อนความผิดพลาดเหล่านั้นได้ หากคุณลองทำตามคำแนะนำของไดแอน กอสแมน เจ้าของโรงเรียนในซานอันโตนิโอ เธอแนะนำให้คุณลองกล่าวประโยคเช่น “ ฉันพลาดไปถนัดที่ไม่ได้แต่งกายตามธีมเน็คไทสีดำ แต่พวกคุณดูยอดเยี่ยมมากเลย ” หรือหากคุณแต่งกายเต็มยศอยู่คนเดียวในขณะที่คนอื่นๆ แต่งตัวตามสบาย คุณสามารถกลบเกลื่อนได้ด้วยการถอดเครื่องประดับหรือเสื้อคลุมออก แต่คุณกอสแมนได้ให้ข้อคิดว่า บางครั้งคุณอาจไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการแต่งกายมากนัก “ คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดที่แต่งตัวดูเก๋ไก๋ในแบบของคุณ! ”

หากคุณ…ลืมชื่อใครบางคน

เมื่อความทรงจำของคุณเกิดรวนขี้นมาในสถานการณ์ที่ไม่เหมาะเอาเสียเลย แอนนา ฮาร์ดีแมน เจ้าของธุรกิจบูติก เรียล เอสเตจในเมืองออสติน รัฐเท็กซัส ผู้ซึ่งต้องพบปะผู้คนหลายร้อยคนต่อปี ในงานเปิดตัวและงานเลี้ยงต่างๆ มากมาย ได้ให้คำแนะนำเพื่อกู้หน้าของคุณคืนว่า “ จงดึงเพื่อนของคุณเข้ามาร่วมวงแล้วชิงแนะนำตัวให้เพื่อนของคุณก่อน ” เคล็ดลับนี้แอนนายืนยันว่าเธอเคยใช้มันมาแล้วมากมายหลายครั้ง เธอยกตัวอย่างบทสนทนาอย่างง่ายๆ ว่า “ สุขสันต์วันหยุด! คุณเคยพบกับเจมีเพื่อนรักฉันแล้วหรือยัง ” หลังจากนั้นเจมี่จะแนะนำตัวของเธอให้กับคู่สนทนาของคุณ หลังจากนั้นคู่สนทนาของคุณต้องแนะนำตัวเองอย่างแน่นอน ปัญหาการลืมชื่อของคุณก็จะไม่น่ากลัวอีกต่อไป

หากคุณต้องติดต่องานกับลูกค้านักดื่ม

คุณจะไม่รู้สึกพลาดท่าอย่างน่าโมโหอีกต่อไป หากคุณตกอยู่ในสถานการณ์ที่ถูกกดดันในดื่มอย่างหนักหน่วง ด้วยคำพูดที่ว่า “ ไม่เอาน่า ดื่มอีกนิดเถอะ ” ตลอดทั้งคืน คุณสามารถหลีกเลี่ยงความน่าเบื่อหน่ายจากการต้องคอยบอกลูกค้าว่าคุณไม่ดื่ม สามารถลองทำตามวิธีการของไดน่า คริสซี่ ผู้ซึ่งเคยร่วมงานเลี้ยงน้อยใหญ่มามากกว่า 40 งานใน 1 ปี เนื่องจากงานของเธอคือผู้อำนวยการฝ่ายการจัดงานและการบริการของบริษัทอีเว่นทีค บริษัทรับจัดงานยักษ์ใหญ่ที่มีออฟฟิสทั้งที่นิวยอร์คและดูไบ “ ฉันต้องร่วมงานท่ามกลางคนที่ชอบชักชวนให้ดื่ม จึงต้องแก้ปัญหาด้วยวิธีอำพรางแบบง่ายๆ เช่นถ้าฉันดื่มน้ำแร่อัดลม ฉันจะกระซิบบอกบาร์เทนเดอร์ให้ผสมสิ่งนี้ลงไปในเครื่องดื่มให้ฉัน ” น้ำอัดลม? “ ใช่แล้ว ยิ่งถ้าใส่ลงในแก้วแล้วเติมเลม่อนหรือมะนาวลงไปยิ่งดีใหญ่ จะไม่มีใครเดาได้เลยว่าคุณดื่มเพียงแค่โค้ก หรือเหล้ารัมผสมโค้ก แถมคุณยังสามารถเพลิดเพลินไปกับบทสนทนาได้มากกว่ามัวเสียเวลาฟังคำพูดว่าทำไมคุณถึงไม่ดื่ม? ”

หากคุณต้องออกจากงานเลี้ยงก่อนเวลา

ไม่ว่างานเลี้ยงที่คุณเข้าร่วมจะสนุกสนานหรือน่าเบื่อแค่ไหนก็ตาม คุณต้องไม่ลืมที่จะเตรียมทางหนีทีไล่ให้ตัวเองสำหรับทุกงาน เพ็ท นิวแมน ผู้สรรหาพนักงานใหม่ให้องค์กรแซนฟอร์ด โรด จากเมืองซอลท์เลค ผู้ซึ่งต้องเข้าร่วมงานเลี้ยงมากมายในแต่ละเดือน เธอได้ให้คำแนะนำที่น่าสนใจไว้ว่า เมื่อคุณไปถึงงานเลี้ยง คุณควรเกริ่นกับเจ้าภาพของงานไว้แต่เนิ่นๆ ว่าคุณอาจจำเป็นต้องออกจากงานไปก่อนเวลาอันควร หลังจากนั้น หากคุณรู้สึกเพลียเกินกว่าจะเต้นรำในงานต่อไปได้ คุณสามารถหลบออกจากงานไปได้โดยไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิดแม้แต่น้อย “ ฉันเชื่อว่าการจากไปอย่างเงียบบๆนั้นให้ผลที่ดีกว่า ” หรือบางครั้งการแกล้งปล่อยข่าวลือบางอย่างก็อาจช่วยบิดเบือนความสนใจได้เป็นอย่างดี “ ในงานเลี้ยงครั้งล่าสุดนี้ ฉันออกจากงานก่อนอย่างสบายๆ ด้วยการแกล้งบอกทุกคนว่าฉันถูกห้ามออกนอกบ้านหลัง 10.30 น. ”

ขอบคุณผู้แปล คุณอารีรักษ์ ฤดีสถิตขอขอบคุณข้อมูล นิตยสาร First for Women




หนทางสู่คุณคนใหม่ที่ไร้ที่ติ

MR. MOONLIGHT / 21-Aug-17

เคล็ดลับแบบเร่งด่วนที่ช่วยให้คุณดูดีทั้งภายนอกและภายใน

บำบัดเท้าที่แสนเหนื่อย, เมื่อย และคัน

คุณลอร่า คูเปอร์จากฮาร์ทฟอร์ทได้แนะนำไว้ว่า “หลังจากธุระมากมายระหว่างวัน ฉันดูแลเท้าที่แสนปวดเมื่อยด้วยตำรับพิเศษตกทอดจากคุณยาย เพียงเตรียมน้ำอุ่น 1 ถัง ใส่ผงมัสตาร์ด 1 ช้อนโต๊ะและน้ำมันหอมระเหยกลิ่นลาเวนเดอร์ 2-3 หยดลงไป แช่เท้าในน้ำอุ่นประมาณ 10 นาที มัสตาร์ดช่วยลดอาการอักเสบและดูดสารพิษต่างๆ ทำให้อาการปวดเมื่อยลดลง ในขณะที่ลาเวนเดอร์ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและนอนหลับได้ง่ายขึ้น”

วิธีไหนที่ช่วยทลายปัญหาท้องอืดได้ชะงักที่สุด?

เมื่อถึงคราวที่คุณสวมเดรสตัวโปรดของคุณ แน่นอนว่าสิ่งสุดท้ายที่คุณต้องการพบเจอคือหน้าท้องป่องๆ ได้เวลากำจัดอาการหน้าท้องป่องจากภาวะบวมน้ำออกไปอย่างรวดเร็วด้วยวิธีเหล่านี้

52 เปอร์เซ็นต์รักเลยกับไอเดียนี้

ลอรี่ เมเยอร์ได้แนะนำให้ลองเปลี่ยนของขบเคี้ยวยามว่างเป็นขิงฉาบน้ำตาลแทน ซึ่งขิงมีฤทธิ์เป็นยาขับปัสสาวะตามธรรมชาติ ช่วยขับปริมาณน้ำที่เกินออกจากร่างกายได้เป็นอย่างดี

48 เปอร์เซ็นต์รักเลยกับไอเดียนี้

บริดเจ็ต สโนว์ แนะนำให้ลองจิบชาเปปเปอร์มิ้นท์ ซึ่งตัวเปอเปอร์มิ้นท์ช่วยบำรุงและลดแก๊ซในระบบทางเดินอาหารได้เป็นอย่างดี

เป็นดาวเด่นของงานเลี้ยงได้ไม่ยาก

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่รักการพบปะพูดคุยกับเพื่อนใหม่ แต่คุณก็พบว่างานเลี้ยงสังสรรค์ช่วงสุดสัปดาห์ช่างเสียงดังวุ่นวายเกินกว่าจะได้ยินบทสนทนา เคล็ดลับคือการใช้หูด้านขวาเป็นหลักในการฟังบทสนทนา นักวิจัยพบว่าหูข้างขวาสามารถรับการได้ยินบทสนทนาที่มีจังหวะรัวเร็วได้ดีกว่าหูข้างซ้าย ดังนั้นคุณจะสามารถจับใจความบทสนทนาได้อย่างไม่ตกหล่น ซึ่งนอกจากจะช่วยเสริมสร้างบุคคลิกภาพของคุณแล้ว ยังทำให้คู่สนทนาประทับใจไม่รู้ลืมกับไหวพริบในการตอบคำถามของคุณอีกด้วย

เผยผิวเปล่งปลั่งสดใสดังใจ

เคล็ดลับการบำรุงผิวที่แห้งผากนั้นไม่ยากเย็นอีกต่อไป เพียงใช้วัตถุดิบรอบตัวจากห้องครัวของคุณ เริ่มจากผสมแป้งข้าวโพด ? ถ้วยกับผงซินนาม่อน 1 ช้อนชา ราดนมสดตามลงไปพอให้ผสมเข้ากัน นำมานวดบนผิวแล้วล้างออก อณูเล็กๆ ของแป้งข้าวโพดและกรดแล็กติกในนมจะช่วยผลัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกอย่างนุ่มนวล ในขณะที่ผงซินนาม่อนจะช่วยกระตุ้นการหมุนเวียนของระบบเลือด ทำให้ผิวของคุณสว่างสดใสเปล่งปลั่งดูมีสุขภาพดีได้ เคล็ดลับก้นครัวนี้สามารถช่วยคุณประหยัดค่าผลิตภัณฑ์สำหรับขัดหน้าไปถึง 8 ดอลล่าเลยทีเดียว

บอกลาความเครียดประจำฤดูหนาวออกไป

ลดวามเครียดด้วยวิธีง่ายๆ เช่นการเลือกซื้อสิ่งของต่างๆ , ตกแต่งบ้าน, รับชมสื่อบันเทิงต่างๆ หรือลองสวมเครื่องแต่งกายสีเขียว และจินตนาการว่าคุณคือต้นคริสต์มาสสัก 30 วินาที มีการศึกษาชิ้นหนึ่งระบุว่า การจ้องมองไปที่วัตถุสีเขียวทำให้จิตใจของเราผ่อนคลายลงและมีความสุขมากขึ้น ต้องขอบคุณการสร้างสรรค์จากธรรมชาติที่ช่วยรังสรรค์ต้นไม้ใบหญ้าสีเขียวขจีให้เราได้มองอย่างเย็นตาเย็นใจ

คุณรู้หรือไม่?

การพับครึ่งเสื้อไหมพรมตามยาวก่อนจะพาดไว้บนไม้แขวนเสื้อนั้น ช่วยป้องกันเสื้อไหมพรมเสียรูปทรงได้ บอกลาไหล่เสื้อไหมพรมย้วยๆไปได้เลย

ตกแต่งบ้าน




Eating red meat increase breast cancer risk

KAJARP / 19-Aug-17

Breast cancer is the most common cancer and the second most common cancer related cause of death in American women. It strikes 213,000 U.S. women each year and kills nearly 41,000. Health behaviors when you’re young can make you more susceptible to disease when you’re old. Harvard University researchers found that young women who ate red meat regularly in their 20s, 30s and 40s had double the risk of breast cancer than women who ate meat regularly. Women who ate more than 1 ? serving a day of beef, lamb or pork had nearly double the risk of hormone-receptor-positive breast cancers compare with those who ate three or fewer serving per week. Red meat may promote breast cancer through carcinogenic chemicals produce during cooking or growth hormone given to the cows by farmers.

เนื้อแดงเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งเต้านม

มะเร็งเต้านมนั้นเป็นโรคมะเร็งที่พบได้บ่อย และเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับ 2 ของสตรีในสหรัฐอเมริกา ในทุกวันนี้พบผู้ป่วยโรคนี้ถึง 213,000 คน และเสียชีวิตจากโรคนี้ถึง 41,000 คน อันที่จริง พฤติกรรมด้านสุขภาพของแต่ละคนนั้น สามารถส่งผลต่อการเกิดโรคต่างๆ ได้เมื่ออายุมากขึ้น นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาดค้นพบว่ากลุ่มสตรีที่รับประทานเนื้อแดงเป็นประจำในช่วงอายุ 20 ปี, 30 ปี และ 40 ปี มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมเป็น 2 เท่าของกลุ่มที่ทานเนื้อแบบอื่นๆ โดยเฉพาะกลุ่มสตรีที่ทานเนื้อแดงเช่น เนื้อวัว, เนื้อแกะ หรือเนื้อหมูมากกว่า 1.5 หน่วยบริโภคต่อวัน (ปริมาณอาหารหนึ่งหน่วยบริโภคที่ระบุในฉลากโภชนาการ เป็นปริมาณอาหารที่ผู้ผลิตแนะนำให้ผู้บริโภครับประทานผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ในแต่ละครั้ง หรือเรียกว่า “กินครั้งละ” นั่นเอง) นั้น มีความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งชนิดตัวรับฮอร์โมนเป็นบวกมากกว่ากลุ่มที่ทานเนื้อแดงไม่เกิน 3 หน่วยบริโภคต่อสัปดาห์ถึง 2 เท่า สาเหตุที่เนื้อแดงนั้นสามารถก่อให้เกิดโรคมะเร็งเต้านมได้เพราะมีสารก่อมะเร็งที่เกิดขึ้นระหว่าการปรุง และยังมีฮอร์โมนต่างๆ ที่ฉีดให้วัวตั้งแต่อยู่ในฟาร์ม

จากนิตยสาร FITNESS Rx




สร้างปาฏิหาริย์ด้านสุขภาพของคุณด้วยสองมือ

MR. MOONLIGHT / 18-Aug-17

ปัจจุบันแพทย์สมัยใหม่หลายท่านได้มีการศึกษาติดตามผลของสภาพแวดล้อมและวิถีชีวิต ว่าส่งผลอย่างไรต่อกระบวนการการทำงานของร่างกาย ในขณะที่การวางแผนการรักษาต่างๆ ก็จะมีความเฉพาะตัวกับผู้ป่วยแต่ละรายมากขึ้น วันนี้จึงขอนำเสนอเคล็ดลับเด็ดที่ช่วยให้คุณเริ่มต้นกระบวนการการซ่อมแซมร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ลองวิธีการงดรับประทานอาหารกลุ่มเสี่ยง

เบตเต้ บิชอป แพทย์แผนปัจจุบันและผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์ทางเลือกแห่งเมืองทุลซ่า รัฐโอกลาโฮม่า ได้ให้ความเห็นไว้ว่า ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แบบบูรณาการและศาสตร์การรักษาทางเลือกอื่นๆ ต่างเห็นพ้องต้องกันว่าการงดรับประทานอาหารกลุ่มเสี่ยงอย่างครอบคลุมเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการช่วยขจัดปัญหาการพบเจออาหารที่อาจสร้างการระคายเคืองต่อร่างกายได้ เช่น กลูเตน, ผลิตภัณฑ์นม, ข้าวโพด, ถั่วเหลือง, ถั่วต่างๆ และน้ำตาล และที่สำคัญ วิธีการงดรับประทานอาหารกลุ่มเสี่ยงนี้เป็นวิธีการป้องกันความเจ็บป่วยที่ไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายใดๆ เลย

ลองรับประทานอาหารจำพวกพืชผักที่หลากหลาย

นายแพทย์โทมัส ซอลท์ แพทย์ทางเลือกจากเมืองนิวลอนดอน รัฐมินิโซดาได้ให้คำแนะนำว่า การเลือกรับประทานผัก, พืชตระกูลถั่ว และผลไม้ในแบบที่หลากหลาย จะช่วยลดปัญหาการอักเสบในส่วนต่างๆ ของร่างกาย, ปรับระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยให้จุลินทรีย์ชนิดดีในร่างกายมีคุณภาพที่ดีขึ้นอีกด้วย

ขยับร่างกาย สุขภาพแข็งแรง

แน่นอนว่าการเดินเป็นการออกกำลังกายที่ง่ายดายมาก ไม่ต้องใช้อุปกรณ์และเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย นายแพทย์ซอลท์ได้แนะนำว่า เวลาที่คุณป่วยไร้เรี่ยวแรงและการออกกำลังกายทำให้คุณรู้สึกแย่ยิ่งกว่าเดิม จงลอง “ การออกกำลังกายแบบไม่เหนื่อย ” ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น เมื่อการเดิน 1 ชั่วโมงทำให้คุณรู้สึกรู้สึกแย่ แต่การเดินเพียง 40 นาทีนั้นไม่ส่งผลแล้วล่ะก็ คุณสามารถลดการเดินเหลือเพียง 40 นาทีก็ได้ การออกกำลังกายโดยไม่เกินขอบเขตที่ทำให้คุณเหนื่อยจนเกินไปจะไม่ทำให้คุณรู้สึกแย่กับการออกกำลังกาย

เลือกรับประทานเฉพาะอาหารเสริมที่มีคุณภาพ

นายแพทย์บิชอปกล่าวว่า การเลือกรับประทานอาหารไม่แปรรูปนั้นเป็นหัวใจหลักอย่างหนึ่งของศาสตร์การรักษาแบบมุ่งเน้นการแก้ปัญหาจากต้นตอ แต่ทว่าคุณภาพของดินที่ปลูกทุกวันนี้ทำให้ผักและผลไม้ต่างๆ มีสารอาหารและแร่ธาตุน้อยลงกว่าที่มันเคยเป็น อีกทั้งคนส่วนใหญ่นั้น มักเลือกรับประทานอาหารที่ไม่ค่อยมีสารอาหารสักเท่าไหร่ มีข้อมูลว่าประชากรราวๆ 30 – 90 เปอร์เซ็นต์ของสหรัฐอเมริกาต้องพบกับปัญหาขาดสารอาหาร ดังนั้นการเลือกรับประทานอาหารเสริมจำพวกวิตามินรวม, เกลือแร่, วิตามินดี และน้ำมันตับปลา หรือโอเมก้าสามนั้น น่าจะเป็นทางออกที่ดีต่อภาวะขาดสารอาหารได้

จงดูแลส่งเสริมสุขภาพตัวเองจากสิ่งที่คุณมี

แม้ว่าคุณจะได้รับโรคเรื้อรังต่างๆ สืบทอดมาจากครอบครัวของคุณ จงรู้ไว้ว่าคุณไม่ได้เป็นนักโทษของสายพันธุกรรมของคุณแต่อย่างใด สิ่งสำคัญคือสิ่งแวดล้อมและการเลือกใช้ชีวิตต่างหากที่จะส่งผลกับคุณอย่างแท้จริง แพทย์เฉพาะทางด้านประสาทวิทยา เดวิด เพิร์ลมัทเทอร์ได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า คนทั่วไปควรจะเรียนรู้และใจว่าวิถีชีวิตของพวกเขานั้นส่งผลกระทบต่อการเกิดโรคเรื้อรังมากกว่าการถ่ายทอดทางพันธุกรรมมากมายนัก

จงระมัดระวังสารพิษรอบตัวคุณ

“ ผู้คนทั่วไปมักไม่ทันสังเกตการปนเปื้อนสารพิษในชีวิตประจำวันรอบตัวเรา จนมันอาจคลืบคลานสู่บ้านของคุณแล้วอย่างเงียบๆ ” มาร์กาเร็ต คริสเตนเซ่น สูตินรีแพทย์ และผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาแบบผสมผสานแห่งเมืองดาลัส รัฐเท็กซัสได้แสดงวามคิดเห็นต่อเรื่องสารพิษต่างๆ ไว้ รวมถึงได้ให้คำแนะนำไว้ว่าจงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ปลอดสาร หยุดใช้ยาฆ่าแมลงหรือยากำจัดวัชพืชในสวนหน้าบ้านคุณเสีย แต่จงหันมาลองใช้สีปลอดสารทาผนังบ้าน ไม่ใช้กระทะเทฟล่อนหรือกระทะที่ป้องกันอาหารติดกระทะ หลีกเลี่ยงการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติกสำหรับอุ่นอาหารด้วยเรื่องไมโครเวฟ ไม่ใส่อาหารในภาชนะพลาสติก หรือห่ออาหารด้วยพลาสติกใสเช่นกัน

อย่าเผลอใช้ยาปฏิชีวนะจนเคยตัว

แน่นอนว่ายาปฏิชีวนะนั้นมีประโยชน์มหาศาลในการักษาอาการติดเชื้อ และสามารถช่วยชีวิตผู้ป่วยได้มากมาย ทว่าตัวมันเองก็มีประสิทธิภาพในการทำลายจุลินทรีย์ตัวดีในร่างกายเช่นกัน ดังนั้นอย่าลืมแจ้งแพทย์ของคุณว่าคุณต้องการได้รับยาที่ไม่มีฤทธิ์แรงมาก นายแพทย์ เพิร์ลมัทเทอร์ได้แนะนำว่า หากคุณจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ ควรแจ้งแก่แพทย์ทุกครั้งว่าคุณต้องการยาปฏิชีวนะแบบครอบลุมทั้งเชื้อแกรมบวกและแกรมลบ ที่สำคัญคือคุณต้องไม่ลืมรับประทานโปรไบโอติกที่มีประสิทธิภาพขณะที่ใช้ยาปฏิชีวนะ(จำนวนเชื้อมีชีวิตควรอยู่ที่ปริมาณห้าสิบล้านตัวขึ้นไป) และควรจะรับประทานโปรไบโอติกต่อไปอีกสัก 1 สัปดาห์หลังหยุดใช้ยาปฏิชีวนะไปแล้ว มันจะช่วยสร้างสมดุลให้ร่างกายคุณเป็นอย่างดี

อย่ารีบร้อนกับทุกวิถีทาง

คนส่วนใหญ่ที่มีปัญหาโรคเรื้อรังนั้นมักกระหายและรีบร้อนที่จะมีอาการดีวันดีคืน แต่ต้องไม่ลืมว่าแม้แต่ปาฏิหาริย์เองก็ต้องการเวลาในการทำงานของมันเช่นกัน นายแพทย์บิชอปออกความคิดเห็นไว้ว่า “คุณไม่สามารทำทุกสิ่งทำอย่างและประสบความสำเร็จทั้งหมดได้ในคราวเดียวกัน ผมมักจะต้องให้ผู้ป่วยจินตนาการความก้าวหน้าในการรักษาในแบบวงเกลียวที่ค่อยๆหมุนคลายลงช้าๆ เหมือนการรักษาทุกวิธีที่จะช่วยให้ผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นช้าๆ แบบเป็นลำดับขั้นตอน และเมื่อผู้ป่วยตัดสินใจเข้าร่วมการรักษากับแพทย์แบบรักษาที่ปัญหาต้นตอ พวกเขาต่างก็ต้องใช้ระยะเวลาสักพักใหญ่ในการเปลี่ยนแปลงอาการให้ดีขึ้นเช่นกัน

เกลือแร่




Freedom from sick day เป็นอิสระจากโรคา

MR. MOONLIGHT / 17-Aug-17

เคล็ดลับดีๆ จากแพทย์ผสมผสาน นายแพทย์เอลซัล แฮส ที่จะช่วยให้คุณมีความพร้อมในการป้องกันโรคภัยต่างๆ ลดความเสี่ยงในการเกิดโรค รวมถึงหนทางในการฟื้นฟูร่างกายอย่างเร่งด่วนเมื่อคุณล้มป่วยอีกด้วย

ในปีที่ผ่านมามีข่าวมากมายเกี่ยวกับการระบาดอย่างหนักหน่วงของไวรัสไข้หวัดใหญ่ อีกทั้งสาวๆ มากมายที่หลังผ่านพ้นจากระยะการเป็นหวัดมาแล้วยังคงรู้สึกป่วยไข้อยู่ ศูนย์การป้องกันและควบคุมโรคติดต่อรายงานว่ากลุ่มคนที่รับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่นั้น มีเพียง 19 เปอร์เซ็นที่เห็นผลการป้องกันไข้หวัดอย่างชัดเจน ดังนั้นจะดีกว่าไหม หากเราเริ่มต้นสร้างเสริมภูมิคุ้มกันก่อนที่ไข้หวัดตัวร้ายจะมาเยือน นายแพทย์เอลซัน แฮส ผู้แต่งหนังสือเรื่อง ศาสตร์พื้นฐานแห่งภูมิคุ้มกันโรคร่วมกับดร. แซนดร้า บาร์เร็ต ได้กล่าวไว้อย่างน่าสนใจว่า การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันจะส่งผลแก่ร่างกายคุณมากกว่าแค่การขจัดอาการคัดจมูก ระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงนั้นเป็นหนึ่งในพื้นฐานที่สำคัญมากของการมีคุณภาพชีวิตที่ดี การมีสุขภาพที่แข็งแรงและร่างกายที่สมดุลนั้น จะทำให้คุณไม่ต้องย่ำแย่นอนซมเมื่อฤดูการระบาดของไข้หวัดใหญ่มาถึง แถมยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคภูมิแพ้อาหาร, สภาพแวดล้อม หรือแม้แต่การเกิดภาวะแพ้ภูมิตัวเอง ขอเพียงทำตามเคล็ดลับ 6 ข้อต่อไปนี้

1. ชุบชีวาให้แก่ต่อมไทมัส

เป็นที่รู้กันว่าต่อไทมัสนั้น เป็นแหล่งสร้างทีเซลล์ ซึ่งเป็นตัวช่วยควบคุมระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย แต่น่าเสียดายที่เมื่ออายุมากขึ้น ต่อมไทมัสกลับทำงานได้ลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ นายแพทย์แฮสแนะนำว่าเราสามารถกระตุ้นการทำงานของต่อมไทมัสได้ง่ายๆ ด้วยการวางมือลงบนต่อมไทมัส (ใต้กระดูกไหปลาร้าแต่เหนือบริเวณหัวใจ) และเริ่มลูบวนเป็นวงกลมตามเข็มนาฬิกา จากนั้นใช้ปลายนิ้วตบเบาๆ พร้อมกับออกเสียงฮัมเบาๆ โดยไม่ต้องเปิดปาก การตบและสั่นสะเทือนเหล่านี้สามารถกระตุ้นการทำงานของต่อมไทมัสได้เป็นอย่างดี

2. เพิ่มคุณประโยชน์ให้มื้ออาหารด้วยสลัดจานพิเศษ

ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายนั้นต้องการวิตามินมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเอ, บี, ซี, ดี, อี, สังกะสี, ซิลิเนี่ยม, เหล็ก และแมงกานีส นายแพทย์แฮสแนะนำว่า หากต้องการให้ร่างกายได้รับสารอาหารเหล่านี้อย่างเพียงพอ จำเป็นต้องเพิ่มสลัดเข้ามาในมื้ออาหารประจำวัน โดยเฉพาะสลัดที่อุดมไปด้วยผักขมและผักใบเขียวอื่นๆ ซึ่งต้องผสมอาหารเปี่ยมคุณประโยชน์ต่างๆเหล่านี้ ไม่ว่าจะเป็นบล็อคโคลี่, แครอท, ถั่วเขียว, หัวหอม, ถั่วต่างๆ, มะเขือเทศ, ซูจีนี, แอปเปิ้ล, ลูกฟิกซ์, ส้ม, อัลมอนด์, อะโวคาโด้, ถั่วลิสง, เมล็ดแฟล็ก และถั่วงอก

3. สร้างเกราะป้องกันให้แก่ร่างกายด้วยโปรตีน

โปรตีนนั้นเป็นตัวการสำคัญที่ช่วยร้อยเรียงให้ระบบภูมิคุ้มกันต่างๆ ในร่างกายทำงานประสานกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการเพิ่มปริมาณโปรตีนให้แก่ร่างกายนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง มีการศึกษาในกลุ่มผู้หญิงที่ได้รับอาหารที่มีปริมาณโปรตีนต่ำจะมีระบบภูมิคุ้มกันที่ย่ำแย่กว่ากลุ่มที่ได้รับโปรตีนอย่างเพียงพอ นายแพทย์แฮสแนะนำว่าในหนึ่งวัน ร่างกายควรได้รับโปรตีน 10 กรัมต่อน้ำหนักตัว 20 ปอนด์ ยกตัวอย่างเช่นผู้หญิงน้ำหนักตัว 160 ปอนด์นั้นควรได้รับโปรตีนประมาณ 80 กรัมใน 1 วัน ดังนั้นสามารถเติมโปรตีนให้ร่างกายง่ายๆ ด้วยการแบ่งทานเป็น 4 มื้อ เน้นเนื้อต่าง, สัตว์ปีก, เนื้อปลา, ไข่ และถั่วสัก 1 กำมือ

4. ออกกำลังกายนั้นหนาเป็นยาวิเศษ

การออกกำลังกายนั้นสามารถช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันให้สามารถสำรวจตรวจสอบร่างกายของคุณได้ดีขึ้น (ผ่านทางการกระตุ้นการไหลเวียนเลือด) อีกทั้งยังช่วยให้ร่างกายขจัดเชื้อโรคและสารพิษต่างๆ ออกไปจากร่างกายผ่านระบบท่อน้ำเหลืองได้ดีขึ้น นายแพทย์แฮสสนับสนุนให้คุณออกกำลังกายในวันที่รู้สึกเริ่มจะเป็นไข้หวัด เพราะจะช่วยให้ร่างกายสามาถกำจัดเชื้อโรคได้ดีขึ้น แต่ควรงดการออกกำลังกาย 2 – 3 วันหากคุณมีอาการไข้หวัดที่รุนแรง, ไอ, ทางเดินหายใจติดเชื้อหรือมีไข้ อาการเหล่านี้นั้นต้องใช้การพักผ่อนเป็นการเยียวยาร่างกายจากการป่วยไข้แทน

5. บำรุงลำไส้เอาไว้ไม่มีผิดหวัง

ในระบบทางเดินอาหารนี้เป็นพื้นที่หลักในการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ดังนั้นระบบทางเดินอาหารที่มีสุขภาพดีจะช่วยส่งเสริมการทำงานระบบภูมิคุ้มกันให้ดียิ่งขึ้น แน่นอนว่าจุลินทรีย์เป็นพระเอกของงานนี้ นายแพทย์แฮสแนะนำให้เพิ่มการรับประทานอาหารตำพวกนมหมักจำพวกโยเกิร์ต, กะหล่ำปรีดอง และจุลินทรีย์มีชีวิตแบบอัดเม็ด

6. ผ่อนคลายความเครียดด้วยเสียงเพลง

การทำสมาธิด้วยการร้องเพลง สามารถช่วยลดปัญหาภูมิคุ้มกันอ่อนแอจากความเครียดได้ มีผลการวิจัยระบุว่า การทำเคอแตน ครีย่านั้น ช่วยลดการทำงานของระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งส่งผลให้ลดการหลั่งฮอร์โมนความเครียดลงด้วย การปฎิบัติเคอแตน ครีย่านั้นง่ายแสนง่าย เพียงนั่งหลังตรง และเปล่งเสียงซา, ทา, นา, มา เป็นเวลา 12 นาที ระหว่างการออกเสียงแต่ละคำนั้น ก็ให้ใช้นิ้วโป้งแตะกับนิ้วต่างๆ ไล่จากนิ้วชี้ ไปนิ้วกลาง, นิ้วนาง และนิ้วก้อย การทำสมาธิด้วยการร้องเพลงเช่นนี้ นอกจากจะได้สมาธิแล้วยังช่วยลดความเครียอย่างสบายๆ

ขอบคุณผู้แปล คุณอารีรักษ์ ฤดีสถิตขอบคุณข้อมูล นิตยสาร First for Woman